ความเดิมจากตอนที่แล้ว
“เธอต้องการตัววีรนุชเหรอ?”ศิลารุก
แต่...ต้องชะงักเมื่อวีรนุชตะโกนและทะลึ่งร่างลุกพรวดขึ้นอย่างเร็วเหมือนเป็นการให้ระงับ.ทุกสิ่งลงร่างกายนั้นสั่นสะท้านเหมือนลูกนกต้องลมหนาว
รตากับปภาวดียกมือปาดเหงื่อที่ชื้นตามหน้าผากแล้วจ้องมองวีรนุชที่ยืนหอบจนตัวโยนด้วยความตกใจ
ทันใดนั้น...
ผลัวะ...?
***************
“กรี๊ดดด ! ”
เสียงประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรง และร่างของวีรนุชก็ทะลึ่งลุกพรวดพร้อมเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจใบหน้าถอดสีซีดเห็นได้ชัด
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ? ”แสงที่ส่องเข้ามาจากไฟฉายในมือของลุงจำเริญภารโรงประจำโรงเรียน หันกระบอกไฟฉายไปที่เด็กทั้งสี่คน และเดินเข้ามาเปิดไฟข้างฝาในห้องจนสว่างขึ้น
รตาก้มลงเป่าเทียนบนโต๊ะให้ดับ
“ลุงจำเริญ! ”ปภาวดีเรียกด้วยความเกรงๆ เมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างตำหนิ
“มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ นี่มันมืดแล้วนะเดี๋ยวพ่อแม่ก็เป็นห่วงแย่หรอก”น้ำเสียงนั้นดุนิดหน่อย แต่ทุกคนรู้ดี ว่าภายใต้ใบหน้านั้นใจดีขนาดไหน
“เอ่อ..! พวกหนูลองเรียกวิญญาณมาที่นี่ดูน่ะค่ะ”ศิลาบอกเบาๆ รีบก้มหน้างุดลงเมื่อจบประโยค
“เหลวไหล วิญญงวิญญาณอะไร ที่ไหนกัน? ”ตวาดออกมาแล้วใช้มือปัดของบนโต๊ะหล่นกระจาย
แควก..!
พั่บบบ
กระดาษที่วางมือของทั้งสองคนขาดเหรียญกระดอนไปหลังห้อง ทั้งสี่เบิกตาโต ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี
“ไปๆ กลับบ้านกันได้แล้วพ่อแม่เป็นห่วงแล้วละป่านนี้”ลุงจำเริญไล่และยืนมองเด็กๆ เก็บของจนเสร็จทยอยเดินออกจากห้อง เขาเดินตามเพื่อปิดไฟและประตู
------------------------
คืนนั้นวีรนุชต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนเดินในห้อง และแล้ว ร่างของวีรนุชก็กระตุกวาบไปหมดทั้งตัวมือค่อยๆ ยื่นออกไปดึงผ้าห่มที่กองใกล้บั้นเอวขึ้นมาคลุมโปงสายตาจ้องเขม็งไปที่จุดเกิดเสียง จากความสลัวลางในห้อง หล่อนเห็นเงาๆ หนึ่ง ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้ คราวนี้เหงื่อผุดชื้นเต็มหน้าผาก
หัวใจแทบจะหยุดเต้นด้วยความกลัวเมื่อคิดถึงขาสองข้างนั้นที่ห้องอาบน้ำและเสียงพูดที่ในห้อง
“เหงา เพื่อน เพื่อนฉัน วีรนุช”
วีรนุชนอนเหงื่อชุ่มตัวร่างกายสั่นระริก ริมฝีปากแห้งผาก คอหอยเริ่มตีบตัน ความมึนงงสับสนเต็มสมอง
“ใคร นั่นใครน่ะ? ”
กลั้นใจถามออกไปหญิงสาวลำตัวงอเข้าหากันภายใต้ผ้าห่ม มือกำผ้าคลุมโปงแน่น ตัวและปากสั่นจนฟันกระทบ
เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ๆนอกผ้าห่มแต่หล่อนไม่รู้ว่ามันอะไร และเป็นใคร
ความสับสนและฟุ้งซ่านทวีมากขึ้นวีรนุชยกนิ้วขึ้นกัด เพื่อให้ความเจ็บเตือนสติและหยุดความฟุ้งซ่านชั่วขณะนั้นเสีย
“มะ ไม่นะ ! ต้องไม่ใช่ฉัน”พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ปากก็กัดนิ้วแรงขึ้น
“โอ้ย...!”เสียงร้องของหล่อนคงดัง เมื่อ
ก๊อก ก๊อก
“วี เป็นอะไรไปลูก”ทั้งบิดาและมารดาเปิดประตูเข้ามาหาหล่อนในห้องด้วยสีหน้าตื่นๆและกดสวิตช์เปิดไฟข้างฝา
มารดากอดหล่อนเอาไว้บิดาใช้มืออังที่หน้าผากมน เพื่อจะวัดอุณภูมิของร่างกายว่ามีไข้หรือเปล่าแต่สายตาที่มองมานั้นก็เหมือนจะถาม แต่ไม่มีเสียงใดลอดออกมา
“ฝันร้ายหรือลูก เล่นมากไปมั้งเราน่ะ”จับหัวหล่อนโคลงไปมา “งั้นแม่นอนกับลูกนะ ผมจะไปนอนล่ะยังนอนได้อีกหน่อย”ว่าแล้วบิดาก็เดินออกไป มารดาก็ไม่ถามอะไร
“เรานอนต่อเถอะลูก แม่จะนอนเป็นเพื่อน”มารดาเลื่อนตัวเอนลงนอนกับหล่อนมือก็ยังจับมือหล่อนไว้
“โตแล้วยังเหมือนเด็กๆ อีกลูกคนนี้”บ่นแต่ก็นอนให้หล่อนซุก
วีรนุชไม่อยากเล่าให้มารดาฟังหล่อนกลัวมารดาจะห่วงและกังวลไปด้วย “พรุ่งนี้หนูขอหยุดสักวันนะคะคุณแม่”เอ่ยออกไปเบาๆแล้วกลั้นหายใจฟัง เผื่อมารดาจะคัดค้าน
“เพราะ? ”ท่านถามและเบนสายตามามองหน้าหล่อน “มีอะไรหรือเปล่าลูก วี? ”
วีรนุชเงียบเป็นครู่ “หนูเพียงแต่ปวดหัวน่ะค่ะแม่พอดีพรุ่งนี้ไม่ค่อยมีวิชาหนักๆ ให้เรียน พอจะหยุดได้ค่ะ”
“อืม...นอนเถอะ”มือของมารดาเอื้อมปิดโคมไฟหัวเตียง
***************
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น