Translate

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์) 4



“เออ เมื่อเจอแล้วก็จัดการเข้า จะได้ไปอาบน้ำกัน  เอ็งได้ยินอะไรไหมว่ะ?”
 “โอ้ย! พี่เมจะพูดมาทำไมนี่ เหวอ...”
แซรก....
อย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อร่างของไอ้ตี๋ทิ้งกล่องไม้ขีดไปทาง ส่วนตัวมันก็กระโจนใส่ฉันอย่างเร็วและแรง จนเป็นเหตุให้ฉันเอนไปข้างหลังหัวกระแทกพื้นอย่างแรง
โป๊ก...
“เฮ้ย! เป็นอะไรไอ้ตี๋ ไอ้บ้า เอ็งเป็นอะไรว่ะอู๊ย...หัวโนเปล่านี่ !”ฉันเอามือคลำหัวด้านหลังช่วงท้ายทอยปากก็บ่นกระปอดกระแปด
“แล้วพี่พูดขึ้นมาทำไมล่ะ จะให้ฉันได้ยินอะไรล่ะพูดอยู่คนเดียว ฉันกลัวเป็นนะพี่”ไอ้ตี๋เถียงฉอดๆ
“ถอยไปหน่อย”ตวาดเสียงไม่ดังนักเมื่อฉันผลักมันให้ห่างเพื่อยันตัวลุกขึ้น  จากที่ล้มจนเอนไปด้านหลังทั้งที่นั่งพับขาจึงเจ็บเล็กน้อย
“โฮ! พี่ ที่หลังพูดให้หมดสิ ไม่งั้นละนะ ฉันคิดไปสารพัดทีเดียว เฮ้อ! ต้องมานั่งเก็บก้านไม้ขีดอีก”มันบ่นเป็นหมีกินผึ้งทีเดียว
“ใครจะไปคิดล่ะ ว่าแกน่ะมันพวกปรุงเก่งฉันถามแบบนั้นเพราะว่า ได้ยินเสียงเจนกับพวกไอ้เทืองมันแว่วๆ ”หล่อนบอกให้ฟัง “แกเอามือคลำแล้วกวาดๆมารวมกันตรงหน้าแกน่ะ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จพี่มาเก็บใส่กล่องเอง ตอนนี้หยิบมาสองก้านแล้วจุดใหม่”
ฉันกำกับเจ้าตี๋อยู่ใกล้ๆ เพราะไม่อยากให้มันไปก่อน
ฟู่..
“อ่ะ ติดแล้วพี่เม”มันร้องบอกและจ่อก้านไม้ขีดไปที่ตะเกียง
“โธ่ !พี่เม อย่าหายใจแรงสิ ดับเลยเห็นไหม”มันบ่นอย่างคนหัวเสียในใจฉันนั้นแปลบปล๊าบทีเดียว อยากจะบอกมันใจแทบขาด แต่ก็พูดไม่ได้ ขืนบอกว่าไม่ได้หายใจนั่งกลั้นอยู่ในระหว่างที่มันจุดติด รับรอง มันคงเผ่นลงไปจากบ้านฉันแน่ๆ
“เออๆ ขอโทษที เอาใหม่ๆเดี๋ยวพี่กลั้นหายใจแล้วเอามืออุดปากไว้ด้วย จุดเลย”
มันหยิบมาใหม่ คราวนี้มันไม่เลือก(เพราะไม่มีให้เลือก)และก็ได้ผลฉันรีบกลั้นหายใจ เอามืออุดปากทันที แต่...
“อุ๊บ!...”
ดูมันทำ
“แล้วแกทำไมหายใจแรงนักวะไอ้ตี๋ไอ้...”ฉันว่าให้มันบ้าง
“ฮิ ฮิ พี่ล่ะก็ อย่าบ่นน่า ก็ฉันกำลังดีใจนี่เลยเผลอถอนหายใจจนลืมแขม่ว เอาใหม่ๆ เดี๋ยวพอติดนะพี่ช่วยฉันเอามือป้องไปจ่อตะเกียงนะ และที่สำคัญ”มันหยุดไปนิดหนึ่ง ฉันรู้ว่ามันจ้องหน้าฉัน
“อะไรวะ”ฉันถามขจัดความสงสัย
“ห้ามพี่หายใจ ช่วยๆกลั้นเอาไว้หน่อยระหว่างจุดติดและจ่อตะเกียง”มันบอกเอาไว้เลยแบบนั้น
แหม! ได้สิ เรื่องกลั้นหายใจน่ะงานถนัด เพราะทำบ่อยเวลาเล่นแข่งดำน้ำอึดกัน
ฟู่ ฟู่ มันลงมือกรีดก้านไม้ขีดกับกั๊กอีกครั้ง คราวนี้พอเห็นแสงไฟที่ฟู่ขึ้นฉันก็เริ่มกลั้นหายใจแล้วช่วยเอามือป้องอย่างสุดฤทธิ์  กลัวเหมือนกันกลัวเจ้าเด็กปัญหามากจะหายใจออกมาแรงๆ
ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เมื่อจ่อตะเกียงได้ ฉันรีบเอาฝาแก้วครอบทันที
“โอ้ย ติดเสียที กว่าจะติดนะ เล่นซ่ะเหงื่อโทรมเชียวเป็นแบบนี้ทุกวันหรือเปล่าพี่เม”
“ไม่หรอก เฉพาะวันนี้แหละ”อยากบอกให้มากกว่านั้นแต่ไม่เอาดีกว่า เพราะยังเจ็บชายโครงไม่หาย ตอนที่มันโถมใส่มาทั้งตัวเมื่อสักครู่

“ไปกันหรือยังล่ะฉันอยากกระโดดถีบไอ้เทืองก่ะไอ้จ้อนเต็มทีแล้ว เจ็บใจนักเมื่อวานนี้มันเล่นฉันซ่ะน่วมเลย พี่ไม่อยู่”
“อื่อ เราไปกันเถอะ”ฉันลุกผละไปด้านข้างคว้าขันสบู่กับผ้าถุงเดินนำมันออกไปใจก็คิดไปถึงคนที่เพิ่งตาย เมื่อไม่กี่ชั่วโมงไปด้วย
“พี่นอนกับใครเหรอตอนกลางคืน”มันชวนคุย
“บางคืนก็กับแม่ และเวลาฝันร้าย นอกนั้นก็กับพี่สาวเอ็งถามทำไมวะ หรือแกจะมาเข้าหาฉัน”ฉันใช้มือผลักหัวมันเบาๆ
“ฮ่า ฮ่า รอฉันโตก่อนนะพี่” มันพูดแล้วหัวเราะเสียงดังก่อนจะวิ่งนำหน้าฉันไป      

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์) 3


“ตี๋เงียบทำไมวะ พี่ถามว่าพ่อกับแม่แกไปไหน”

รีบร้องตะโกนหาเพื่อนก่อนหากเป็นวันอื่น ป่านนี้ฉันคงยังไม่กลับมาก่อนหรอกคงอยู่เดินรั้งท้ายแม่กับพี่ดีกว่า

“อ้อแม่กับพ่อไปส่งติ่งบ้านปู่น่ะสิ เห็นว่าเย็นๆจะกลับ ป่านนี้แล้วยังไม่มา ไม่ห่วงฉันเลย รู้อย่างนี้ฉันลาครูไปด้วยก็ดี”

เสียงไอ้ตี๋บ่นกระปอดกระแปดอยู่นอกชานเท่านี้ฉันก็อุ่นใจแล้ว ฉันเริ่มตั้งสมาธิใหม่ หยิบกั๊กไม้ขีดขึ้นมาเงยหน้าหลับตาแล้วถอนหายใจ ตรงหัวเตียงแม่มีหิ้งพระ รูปคุณปู่และบรรพบุรุษเพียบยาวเป็นแถว แต่ละภาพเหมือนจะจ้องมาที่ฉัน ใจที่สงบเริ่มเต้นเป็นกลองรัวอีกครั้งจนแทบอยากจะร้องไห้  เวลาแม่ใช้ให้ไปหยิบเซี่ยนหมากแถวนั้นสีหน้าฉันจะยุ่งด้วยความตื่นตะหนก พอแม่เห็นก็จะปลอบว่า

“จะกลัวอะไรนักหนานั่นน่ะไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ปู่กับย่าและพ่อเมทั้งนั้น ทุกคนเค้ารักเมจะตายไป เร็วๆไปหยิบเชี่ยนหมาก”สรุปจบไล่ไปหยิบ สำหรับฉัน บริเวณนี้น่ากลัวมาก

“เพราะรักหรือแม่ทุกคนจึงมาให้เห็นบ่อยๆ แบบนั้นน่ะ”ฉันยังเดินบ่นไป และคิดว่าน่าจะได้ยินคนเดียวแต่เปล่าหรอก พี่สาวฉันนั้นหูผึ่งเลย (ฉันก็เสือกดีดันหันไปเห็นดวงตาเบิกโพลงแบบคนอยากรู้ของพี่เข้า เดี๋ยวมีการซักเกิดขึ้นแน่)ในตอนนั้นฉันคิด

หึย..ไม่เอาไม่คิด รีบสลัดหัวแรงๆ  “นะโม ตัสสะภะคะวะโต...” ฉันนั่งท่องในใจจนสงบ

คราวนี้ฉันตั้งใจกรีดและลากช้าๆได้ผล มันติดแล้ว พยายามบังคับมือไม่ให้สั่น ค่อยๆจ่อไปที่ไส้

วูบ...

“โว้ย ! อะไรนี่ลมมาจากไหนวะ”ฉันเผลอร้องออกไปดังๆ

“อะไรหรือพี่ลมอะไรที่ไหน  หากมีลมก็ดีน่ะสิฉันร้อนจะตาย อยากไปโดดน้ำเต็มที แล้วพี่น่ะ ได้หรือยังผ้าถุงก่ะสบู่น่ะช้าจริง...พี่สาวเอาขันสบู่ไปซ่อนรึไง..”

ความไร้เดียงสาของไอ้ตี๋มันก็ดีกับตัวมันแต่สำหรับฉันแล้ว แทบอยากจะวิ่งไปจากตรงนี้เต็มที

“ว่าไงพี่เม  ตกลงหาเจอหรือยังล่ะ ขันสบู่ก่ะผ้าถุงน่ะเด๋วก็มืดอดเล่นน้ำนานๆ หรอก”ได้ยินเสียงมันบ่นกระปอดกระแปดข้างนอกชานชักหมั่นไส้มันเหมือนกัน นึกๆ ฉันก็อยากเล่าให้มันฟังจังเลยดีไม่ดีมันวิ่งขึ้นมาหาฉันแล้วนั่งบนตักในตอนนี้ ฉันคงจับมันเหวี่ยงออกไปแน่ๆหรือไม่ มันอาจจะทิ้งฉันไว้แล้ววิ่งไปที่อื่น แล้วฉันจะทำอย่างไรดีล่ะ

นาทีนี้ฉันพยายามข่มจิตใจอย่างหนัก

“แล้วพี่ทำไรน่ะไหนบอกไปจุดตะเกียงกับหยิบผ้าถุงขันสบู่ ใครเอาบังอาจเอาขันสบู่พี่ไปซ่อนเหรอ? ”ดูปากมันนะแค่พูดน่ะ มันยังลากเอาไอ้ที่เรากลัวใส่ให้ได้ยินอีก

“เออๆพี่ได้สบู่กับผ้าถุงแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังปล้ำกับไม่ขีดไฟกั๊กนี้อยู่ สงสัยว่าไม่ขีดเปียกหรือน้ำมันก๊าดผสมน้ำป่าวว่ะจุดไม่ติดสักที”

ด้วยความกลัวฉันเฉพูดไปทางอื่น และอยากพาสมองคิดไปทางนั้นแทนมากกว่าพะวงกับเสากลางบ้าน
“มีกั๊กเดียวหรือไงไม้ขีดบ้านพี่น่ะ  บ้านฉันนะแม่ตั้งไว้ตั้งสามจุดพร้อมตะเกียง  พอมืดก็ไม่ต้องหา”

“เออแม่พี่ก็ตั้งแบบนั้น ไปไหนมาแม้มืดมาก รู้จุดว่าต้องไปตรงไหน”รีบบอกมันไป

เงียบ..

“โห ! พี่เมอยู่ตรงไหนน่ะ ทำไมมันมืดแบบนี้” ได้ยินแค่นั้น ใจคอก็ชื้นขึ้นมาเป็นกองหล่อนลืมความกลัว

“เออๆแกมาก็ดีแล้ว เดี๋ยวพี่ให้แกลองจุดบ้างดีกว่า”ลุกขึ้นไปจับมือเพื่อนรุ่น้องมานั่งตรงเสาที่มีตะเกียงวางอยู่

“แกนั่งเฉยๆ อย่าป้ายมือเปะปะล่ะ เดี๋ยวตะเกียงล้มน้ำมันหกละหม่องเท่งแน่พี่ขี้เกียจเติมน้ำมันตอนมืดๆ”

“แหมพี่เมนี่เห็นฉันซุ่มซ่ามขนาดนั้นเลยเหรอแต่นะ น้อยที่ไหนกัน”พูดจบมันหัวเราะร่วน

“เอออย่าพูดมาก อ่ะ แกลองสิ”เบื่อฟังมัน ฉันยื่นกล่องไม้ขีดให้ เฮ้อ !เวรกรรมจริงๆ แต่ก็ขำคำพูดมันเหมือนกัน ตี๋เป็นเด็กอัทยาศัยดี มีน้ำใจเยอะมันไม่ค่อยโกรธใครหรอก หากใครโดนมันโกรธนี่แปลว่า คนๆ นั้นแย่มาก

“เอาล่ะตาเอ็งลองล่ะ ดูซิจะติดหรือเปล่า”มือเล็กที่เห็นลางๆ นั้นดันกล่องให้เลื่อนออก

แกร๊ก แกร๊ก..

โอ้ !มันเลือกก้านด้วย

“ตี๋นี่แกเลือกก้านไม้ขีดด้วยเหรอ”ฉันถามมันขำๆ

“เลือกสิพี่แล้วฉันก็ภาวนาด้วยนะ ว่าอย่าให้เจอไม้ขีดอันไม่ดี ขอให้จุดทีเดียวติดเลย”มันบอกเคล็ด

ช่างคิดนัก...

*******************

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์) 2


“หยู๊ดดดดดดดดด อย่าคิดอกุศลพี่เมฉันยังมีสติดีอยู่” เออ เอาก่ะมันสิ ฉันอ้าปากเรียกชื่อมันยังไม่ได้เลยมันรีบห้ามอุตลุดล่ะ

“นี่ๆ ไอ้ตี๋ จะมากไปแร่ะ แกแดดนักนี่แน่ะ”ฉันใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากมันแรงๆ จนหน้ามันหงาย

“5555 พี่เมล่ะก้อ ฉันล้อเล่น เออพี่เม เอาล่ะนะที่นี้ ฉันจะเริ่มบอกล่ะนะ ตั้งใจฟังดีๆ ล่ะ”มันหันซ้ายหันขวา

“อืม..ว่ามา ข้ากำลังฟัง”

“พี่รู้ไหม ลุงอรุณกำลังข้ามฟากไปอีกฝั่งแต่โดนรถสิบล้อชน หัวเละเลย ตายคาที่...”มันกระซิบกระซาบฟังไม่ได้สรรพ

"ไอ้ตี๋ อย่าเสือกกระซิบเลย พูดดังๆ ฉันไม่ได้ยิน นอกจากลมหายใจเอ็งนี่น่ะ"

“พี่รู้ไหม ลุงอรุณกำลังข้ามฟากไปอีกฝั่งแต่โดนรถสิบล้อชน หัวเละเลย ตายคาที่...”หัวคิ้วฉันย่นเข้าหากันอย่างไม่อยากเชื่อ

“ห๊า..ใครบอกเอ็ง ไอ้ตี๋...อย่าพูดชุ่ยๆนะโว๊ยไม่ใช่เรื่องจะเอามาล้อเล่นได้ มันลางไม่ดี ไอ้นี่เดี๋ยวโดน เดี๋ยว”ปากฉันก็พูดไปงั้นแหละเอาเข้าจริงๆ แค่เห็นหน้าเจี่ยมเจี้ยมนั้นแล้วก็ทำไม่ลงหรอก

“พี่เม..แต่ลุงแกโดนรถชนหัวเละนะเห็นพี่แววบอกว่า “แกตายโหง” คนตายโหงส่วนมากจะกลับบ้านทันทีนะพี่ป้าเจียมน่ะเป็นลมยังไม่ฟื้นเลย นี่ก็จะหกโมงแล้ว แล้วพี่ดูตะวันสิ สีมันเหมือนเลือดเชียว”มันหันซ้ายแลขวาเลิ่กลั่กจับแขนฉันแน่น“เขาเรียกแดดผีตากผ้าอ้อมนร้า...”พูดแค่นั้นมันหันหลังอิงฉันไว้แล้วเอามือฉันไปพาดบ่าเล็กๆแต่ยึดไว้แน่น

กา กา...

เสียงอีการ้องแหวกอากาศมาอย่างน่าสะพรึงทีเดียว

ไอ้ตี๋เล่าไปพลางชี้มือชี้ไม้ให้ฉันมองแดดที่มันบอกว่าสีแดงๆส้มๆ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ผีตากผ้าอ้อม”ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

ฉันมองไปรอบๆ ก็จริงตามที่มันบอกแหละบรรยากาศตอนนี้วังเวงจริงๆ ยิ่งมีการตายเกิดขึ้นยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงให้เด็กในแถบนั้นมากขึ้น

ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างกลับจากงาน โรงสีเงียบเหมือนว่าร้างคนอยู่มานานแรมเดือน ทั้งๆ ที่เมื่อเช้ายังแผดเสียงดังคับทุ่งอยู่เลย ฉันเห็นและได้ยินคนผ่านไปมาพูดกันปากต่อปากว่า จะไปดูที่เกิดเหตุหน่อยใครจะไปให้มาเจอกันที่ท่าเรือบ้านพี่ชายฉัน พวกเขาคงจะเหมากันไปนั่นแหล่ะ คาดว่านะ

โอ้ย ! ป่านนี้แล้วแม่กับพี่สาวทำไมเดินช้าจังเลยนะฉันมองไอ้ตี๋ ใจก็คิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่อยากคิดถึงตอนขึ้นไปเอาผ้าถุงเลย เหตุเพราะต้องผ่านเสาที่กลางบ้านตรงหัวเตียงของแม่เสาต้นนั้นมักจะมีน้ำมันไหลออกมาตอนกลางคืนตลอดเวลา  หากแม่หรือพี่สาวไม่อยู่ฉันจะไม่อยู่บนบ้านเด็ดขาด

“ตี๋ แกอย่าเพิ่งไปไหนนะพี่ขึ้นไปเอาผ้าถุงกับขันสบู่ก่อน เดี๋ยวเราไปอาบน้ำกัน รอพี่แป็บนะ”ฉันสัมทับมันด้วยน้ำเสียงแข็งขันต้องไว้เชิงหน่อย เดี๋ยวได้ไปโพทนาทั่วหมู่บ้าน อายเขาตายเลยเจ้านี่ยิ่งลำโพงแตกอยู่ด้วย

“ได้สิพี่ฉันก็ยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้หรอก”มันยิ้มเจื่อนๆ ฉันก็ไม่เซ้าซี้รีบวิ่งขึ้นข้างบนก่อน

บนบ้านฉันเมื่อโพล้เพล้หน่อย ก็มืดสนิทยิ่งหน้าต่างไม่ได้เปิดนะ อย่าให้พูดเลย มันวังเวง...
มือที่หยิบกล่องกั๊กไม้ขีดพยายามจะไม่ให้สั่นเพราะหากสั่นเวลาเปิดมันจะแย่งกันวิ่งออกมากระจายบนพื้นบ้านยิ่งชักช้าไปใหญ่แถมเวลาขีดไฟลุกจ่อไปที่ตะเกียงมันดับทุกครั้ง

“ตี๋ แม่กับพ่อแกไปไหนล่ะ”

ฉันร้องตะโกนถามเพื่อคุยกับมันดับความกลัวไปในตัว เมื่อก้มลงนั่งใกล้ๆ เสา มือค่อยๆเอื้อมไปจับตะเกียงที่วางข้างๆ เพื่อจัดการจุดให้ความสว่างช่วยคลายความกลัวลง อย่าว่าแต่นั่งเลยแค่ผ่านไป-มาเฉยๆ ฉันก็ขนลุกตลอดเวลาได้ มันแปลกๆ เหมือนมีใครแอบมองอย่างนั้นแหละ

วูบ...

ลม..? มันมาทางไหน?ขีดพอติดต่อไส้ที่ดันมันขึ้นมาจนยาวแล้ว ยังไม่ติด

ให้ตายเหอะ แม่เจ้าประคุณรุนช่องทำไมมันเหมือนจะแกล้งกันอย่างนี้....รีบยกมือกางตบหน้าอกเบาๆสงบอารมณ์ที่เริ่มฟุ้งซ่าน

“ไอ้ตี๋..”

ปากก็ร้องเรียกลูกน้องคนสนิทเติมขวัญกำลังใจไว้...เออหนอ นังเม...

*******************
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์)


  

เมื่อสิบปีก่อน บ้านฉันอยู่ติดกับโรงสี รอบๆ จะรายล้อมไปด้วยผลหมากรากไม้นาๆ ชนิด หากเราเดินเข้าไป จะเจอกับลานตากข้าวถัดจากสวนผลไม้จะมีประตูไม้ใหญ่เปิดรอรับลูกค้าทางด้านนี้ ส่วนด้านหน้าจะเป็นการเดินทางโดยเรือติดเครื่องยนต์หางยาวที่วิ่งในคลองน้ำก็ไหลเชี่ยวทีเดียว และพี่ชายของฉันก็เป็นหนึ่งคนขับเรือเหมือนกันเมื่อเสร็จจากการทำนา

สมัยนั้นหากบ้านไหนมีรถยนต์นี่ถือได้ว่า บ้านนั้นรวย เป็นคนมีอันจะกิน(ว่ากันนะ) ถนนก็เป็นดินเหนียวแน่นแข็งโป๊กแม้น้ำจะท่วมก็ไม่ล่วนเละ จะไปมาอาศัยเรือกันส่วนใหญ่ นอกนั้นก็มอเตอร์ไซน์ที่พอจะเลาะตามริมคันนาไปได้แต่ส่วนใหญ่จะไว้สำหรับนักเรียนที่อยู่ไกลๆ ถีบจักรยานมาเรียนมากกว่า

แต่ก่อนนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้กันหรอก ชาวบ้านส่วนมากใช้ตะเกียงเจ้าพายุ บ้างก็เป็นตะเกียงที่ใส่น้ำมันก๊าด และบ้านฉันก็ใช้แบบนี้

  โรงสีจะใช้ไฟฟ้าเพราะเขาปั่นไฟเองมีทีวีดูอยู่หลังเดียวในละแวกนั้น ด้านในโรงสีปูพื้นด้วยปูนซีเมนต์ลาดยาง ด้านข้างๆก็เป็นเครื่องสี ด้านซ้ายก็จะเป็นกระสอบข้าวสารที่สีเสร็จแล้วรอขนไปในเมืองตลอดแถวซ้ายนั้นจะเรียงข้าวสารยาวจากด้านหลังไปถึงลานท่าน้ำเว้นช่องตรงกลางไว้เดินไปมา ด้านหลังสุดแถบซ้ายจะติดกับห้องครัวเจ้าของโรงสีที่เดินเข้าออกคอยสอดส่องลูกน้องไปด้วย

ส่วนลานตากข้าวด้านนอกเมื่อเปิดออกไปด้านซ้ายจะเป็นโครงสร้างมีแต่เสา ไม่กั้น เปิดโล่งเลย มุงแต่สังกะสีเอาไว้กันแดดฝนและเก็บข้าวเปลือกที่ตากรอสี

รอบๆบริเวณลานกว้างเป็นต้นกล้วยปลูกช่วงกลางๆสองแถวยาวเถิบไปด้านขวาจะเป็นเล้าไก่ โอ่งกลมสีส้มไว้รองน้ำฝนให้คนงานกินถัดไปอีกสามสี่ก้าวเป็นคูน้ำเล็กๆกั้นด้วยกำแพงปูนไม่สูงนักกันคลื่นซัดเข้ามาลากดินลงคลอง ในคูนั้นยังปลูกผักบุ้ง

ถัดจากโอ่งไปอีก จะเป็นต้นชมพู่ที่ให้ลูกดกมากสี่ห้าต้นและตอนนี้ก็เริ่มมีดอกแล้ว ถัดมาอีกเป็นบ้านพักคนงานที่ไร้ที่อยู่(คนต่างถิ่น)ยกครอบครัวมาอยู่ที่นี่เลยส่วนด้านนอกติดกับรั้วลวดหนามเลยจะเป็นต้นละมุดที่ขุดโคกดินสูงขึ้นล้อมรอบอีกชั้น

และตรงโครงสร้างที่เก็บข้าวเปลือกรอนั้นด้านบนก็จะตีเป็นท่อยาวไปทางด้านหลังสุดเพื่อพ่นแกลบออกไปกองรวมที่นั่นครั้นพอสูงมากๆ เข้าเถ้าแก่ก็ให้คนงานจุดไฟเผาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการดับควันก็กระจายไปทั่วบริเวณเกาะตามกิ่งไม้ใบหญ้าที่ปลูกรายล้อมไม่เว้นแม้แต่บ้านของเพื่อนบ้าน รวมทั้งบ้านฉันด้วย

ลุงอรุณเจ้าของโรงสีแกเป็นคนใจดีเป็นที่รักของคนแถวนั้น นานๆ ครั้งแกจะกลับจากในเมืองมาพักบ้าน มีแต่เมียของแกอยู่และจะเข้าเมืองในวันเสาร์ตอนเย็นลุงอรุณกับลูกชายจะอยู่ในเมืองมากกว่า ลูกเรียน ส่วนสามีแกติดต่อค้าขาย

วันนั้นฉันกลับจากโรงเรียนก็ออกไปช่วยแม่ที่ทุ่งนาไกลจากบ้าน และขี่ม้ากลับบ้านเพราะแม่จะพามันไปด้วยเสมอกันไม่ให้ฉันไปเล่นกับเพื่อนๆด้วยห่วงม้ามากกว่าจะห่วงเล่นก่ะเพื่อนๆ

ตะวันเริ่มโพล้เพล้ สีเทาพาฉันควบกลับบ้านระหว่างทางมีอีกาบินตามมาด้วยแค่นั้นไม่พอ มันเสือกร้องตามมานี่สิ กลัวก็กลัว ห่วงแม่ก็ห่วงแต่คิดอีกทีแม่มีเจ้าหมีกับพี่สาวอยู่ด้วย ไม่เป็นไร สีเทาพาฉันกลับถึงบ้านปลอดภัยแม้จะขนลุกบ้างบางครั้ง

“พี่เม พี่เม โอ้ยยย ! ทำไมมันทรมานอย่างนี้”
นั่นไง ไอ้ตี๋เริ่มบ่นมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่อัดอั้นกับเรื่องอะไรที่มันรู้มา
“ทำไม เอ็งเป็นอะไรนักหนาห๊าไอ้ตี๋เห็นจะตายทุกทีสิน่า วันนี้มีอะไร รีบรายงานมาเลย เร็ว ข้าร้อนอยากโดดน้ำจะแย่ล่ะ”ฉันแกล้งขึ้นเสียงก่ะมันไปงั้นแหล่ะ หมั่นไส้น่ะ

“พี่เมพี่เอามือมานี่”ไม่พูดเปล่าหรอกนะ มันยื่นมือมันมาคว้ามือฉันไปแตะที่อกน้อยๆด้วย  “พี่รู้สึกไหม หัวใจฉันเต้นแรงมาก หน้าฉันก็ร้อนๆ ด้วย “

“ไอ้....”

******************
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

ฝากใจกับลมหนาว



/หนาวลมห่มเมฆขาวพราวไออุ่น
หนาวละมุนกรุ่นกลิ่นฟางข้าวหอม
หนาวน้ำค้างพร่างพรมร่มพะยอม
หนาวดาวล้อมพร้อมพรักใจรักเดือน

/หนาวน้ำค้างช่วงยาวกายหนาวเหน็บ
ทุกข์ที่เก็บเกาะใจไม่คล้อยเคลื่อน
ทางมืดมิดไร้แสงแต่งคอยเยือน
ทุกย่างก้าวลอยเลื่อนเป็นเพื่อนไป

/อยากเก็บดาวคว้าจันทร์ตะวันฉาย 
เก็บเรียวรุ้งพรรณรายสายน้ำใส
มอบความรักหวังดีล้นปรี่ใจ
ฝากผีเสื้อดอกไม้มอบให้เธอ

/จะเก็บแก้วร้าวร่วงทุกช่วงก้าว
ระยะทางยืดยาวเคยพลั้งเผลอ
วันข้างหน้าแสนไกลหากได้เจอ
หวังเสมอหนาวหัวใจได้เบาบาง

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

~*จันทร์กับดาว*~




ยามค่ำคืนยืนเดียวดายกายเหน็บหนาว
กลั่นเรื่องราวเป็นกานท์กลอนอ้อนเพื่อนฉัน
กับราตรีมีเดือนดาวเย้าหยอกจันทร์
เขาคู่กันตั้งแต่นั้นฉันจำมา

น้ำค้างพราวพร่างพรมห่มทิวไม้
ยะเยือกไล้โลมเล้าเหล่าพฤกษา
ลมหนาวพลิ้วพล่านพุ่งทั่วทุ่งนา
บนเมฆาจันทร์กระจ่างไม่ห่างดาว

มีกระต่ายในดวงจันทร์คืนวันเพ็ญ
งามสวยเด่นเห็นอร่ามท่ามคืนหนาว
อยากชี้ชวนเธอประจักษ์ด้วยสักคราว
พร้อมเรียงร้อยเรื่องราวรักรุมใจ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

สายลมแห่งความรัก และ คิดถึง



ณ เชิงเขาภูชี้ฟ้า ท่ามกลางลมหนาว ใจเราจากกัน
เพลง “ความรักกำลังเดินทาง,สายลมแห่งความคิดถึง”
...เหรอ?
ไม่หรอก..คงจะเป็นสายลมแห่งความเหงามากกว่า
ทุกๆ ครั้งที่ฟังเพลงเกี่ยวกับสายลม แม้วันเวลาจะผันผ่านไปนานแค่ไหน จิตใจของฉันก็ไม่เคยเปลี่ยน
ฉันยังรักเธอ คิดถึงเธอ อยู่อย่างนี้
เพื่อนฉันเคยถามว่า ฉันยังคิดถึงเธออยู่ไหม ฉันก็จะตอบไปทันทีว่า  “ยังคิดถึง”
ฉันรักเธอ...
ถ้อยคำแสนหวานยังกังวานในโสตประสาทอยู่ทุกวันนี้ ต่อให้เจ็บซมซานแทบขาดใจฉันก็ยังอดห่วงใยเธอไม่ได้ ความคิดถึง คำสัญญายังตราตรึงในห้วงใจ เชื่อไหม?
ฉันอยากจะบอกฝากสายลมไปนักว่า “ฉันยังรักและคิดถึงเธอ”
กลิ่นใบไม้แห้ง ที่ปลิดขั้วทิ้งตัวลอยไปตามกระแสคลื่นลมที่โถมซัดเข้าเชิงผาตรงที่ฉันยืน ทำให้หัวใจของฉันมันร้าวเหน็บหนาวเคล้าสายลมที่เหี่ยวเฉาดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงกำลังไปเลยก็น่าจะได้แม้นจะทรงตัวยืนมองความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังต้องหาที่ยืนพิงรับน้ำหนักร่างเอาไว้   ฉันแค่ลุกขึ้นยืนมาเพื่ออยากรับรู้เท่านั้นทำไมแค่นี้มันเหมือนจะหนักหนา ร่างกายมันไม่กระเตื้องเหมือนยามที่เห็นเขาก่อนนั้น ?
ผ่านมากี่ขวบปีก็ยังเหมือนเดิม ชีวิตที่ไร้สิ้นกำลังใจจากใครสักคนที่เราเชื่อมั่นพร้อมเชื่อใจ ใครคนนั้นจากไปแล้ว และไม่เคยหวนคืนกลับมาอีกมันผ่านแล้วก็ผ่านเลย ร่างกายแค่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงและเจ็บปวด
ความรัก,ความคิดถึง..เราคงลืมปรุงรส..หรือเปล่า?ทำไมมันช่างอ่อนล้าลงไปทุกทีและทุกปีเมื่อฤดูนี้มาเยือน
ฉันก็บอกไม่ได้หรอกนะ ว่าทำไม? ไม่เคยลืมได้สักที
หรือว่า..มีอะไรฝากไปกับสายลมนอกจากความคิดถึง
อย่างนี้เธอช่วยคิดหน่อยสิ ฉันจะลืมมันลงได้อย่างไร?
สายลมแห่งความคิดถึง....

แพรอักษร

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

~*ช้ำเพราะ รัก*~


/ได้โปรดเถิดนะ...คนดี
หันมามองคนทางนี้บ้างได้ไหม?
ไม่รู้สึกสักนิดเลยหรือยังไง
ว่ามีใคร คนหนึ่ง คิดถึงเธอ

/อย่ามองเมินเดินหน้าลาเงียบหาย
คิดถึงคนเดียวดาย สุดท้ายเพ้อ
เคยไหม? ใจคิด มาปรนเปรอ
เห็นให้นอนละเมอ เก้อทุกวัน

/แต่จนแล้วจนรอดไม่มีเลย
เธอนั้นเฉยเฉื่อยชาจากหน้าฉัน
แค่กลับมาบอกว่า...คิดถึงกัน
ไม่เห็นเลยวันนั้น  จะปันความ 

/ เจ็บดวงใจมากมาย ให้ตายเหอะ ..
ทำหงะเงอะ หัวเสีย ละเหี่ยห่าม
เพระคอยหาหัวใจ คนใจทราม
ที่หมดความรักให้กัน วันฟ้าแปรฯ

  แพรอักษร

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

~*ฝากใจกับสายลม*~


/กับคืนวันเวลาใช่ว่าเปลี่ยน
ฉันยังเฝ้าวนเวียนไม่เคยห่าง
ยังรักเธอเสมอเพ้อไม่จาง
ทำทุกอย่างที่บอกผลหลอกกัน

/ในดวงจิตรับรู้อยู่ต้องช้ำ
คนใจดำลวงเล่นพาเห็นขัน
คารมเขากรอกกลิ้งยิ่งทุกวัน
ผูกคำหวานร้อยฝัน ฉันเชื่อไป 

/รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอก
ยังงันงกยอมรับจับมาใกล้
รู้ว่าพริกกับเกลือเนื้อ..อย่างไร
แต่ก็หลงคว้าไขว่จนได้ตรม

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

~*สะตอพลัดถิ่น*~


/มองตะวันหลบฟากจากขอบคุ้ง นกกาต่างบินมุ่งผละทุ่งกว้าง เราก็อยากกลับบ้านลานสวนยาง แต่ทุกอย่างที่หวังยังไม่มี /แค่นกน้อยบินออกนอกหน้าต่าง หัดก้าวย่างบินท่องใช่ย่องหนี ฝ่าคลื่นลมข้ามน้ำย่ำราตรี ดูแสงสีในกรุงฯ ยุ่งกับงาน /เพราะตัวดำเขาย้ำให้ช้ำหมอง น้ำตานองเขาร้องเหม็นทุกเย็นผ่าน ชีวิตเศร้ารันทดสลดนาน เพียงเพื่อแลกประสบการณ์ของวารวัน /สาวสะตอพลัดถิ่นคนหมิ่นหยาม โดนมองข้ามศักดิ์ศรีที่ขีดคั่น ในเมืองนี้วุ่นวายขายค้ากัน ทั้งแข่งขันเพื่อแย่งตำแหน่งคน /เมื่อยามเห็นทุกข์ท้อต่อชะตา ความอ่อนล้าเยี่ยมเยือนเกลื่อนทุกหน อยากมีคนเคียงข้างสร้างสุขปน เพื่อหลุดพ้นภัยพาลทุกข์ผ่านไป

/นั่งมองฟ้าตะวันลับนกกลับถิ่น เจ้าโบกบินผ่านตึกที่สูงใหญ่ ตาจับจ้องรูปพ่อแม่แผ่แรงใจ ช่วยพยุงลูกอย่าได้ให้คลุกคลาน /ขอแรงใจต่อเสริมเติมเสมอ ทุกค่ำคืนนอนเพ้อละเมอขาน ฝากสายลมบอกคิดถึงอีกหนึ่งกาล แม้ไกลบ้านยังนึกลึกสุดทรวงฯ แพรอักษร 04 ธ.ค 2014

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

สวัสดีปีใหม่


จวบปีใหม่ ขอเดชะพระไตรรัตน์
จงขจัดทุกข์ บันดาลสุขนิราศร้างห่างโรค
มีโชคชัยตลอดปีใหม่
และตลอดไปเทอญ

พลอยตะวัน แพรอักษร
31 ธันวาคม 2556
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background