เมื่อสิบปีก่อน บ้านฉันอยู่ติดกับโรงสี รอบๆ จะรายล้อมไปด้วยผลหมากรากไม้นาๆ ชนิด หากเราเดินเข้าไป จะเจอกับลานตากข้าวถัดจากสวนผลไม้จะมีประตูไม้ใหญ่เปิดรอรับลูกค้าทางด้านนี้ ส่วนด้านหน้าจะเป็นการเดินทางโดยเรือติดเครื่องยนต์หางยาวที่วิ่งในคลองน้ำก็ไหลเชี่ยวทีเดียว และพี่ชายของฉันก็เป็นหนึ่งคนขับเรือเหมือนกันเมื่อเสร็จจากการทำนา
สมัยนั้นหากบ้านไหนมีรถยนต์นี่ถือได้ว่า บ้านนั้นรวย เป็นคนมีอันจะกิน(ว่ากันนะ) ถนนก็เป็นดินเหนียวแน่นแข็งโป๊กแม้น้ำจะท่วมก็ไม่ล่วนเละ จะไปมาอาศัยเรือกันส่วนใหญ่ นอกนั้นก็มอเตอร์ไซน์ที่พอจะเลาะตามริมคันนาไปได้แต่ส่วนใหญ่จะไว้สำหรับนักเรียนที่อยู่ไกลๆ ถีบจักรยานมาเรียนมากกว่า
แต่ก่อนนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้กันหรอก ชาวบ้านส่วนมากใช้ตะเกียงเจ้าพายุ บ้างก็เป็นตะเกียงที่ใส่น้ำมันก๊าด และบ้านฉันก็ใช้แบบนี้
โรงสีจะใช้ไฟฟ้าเพราะเขาปั่นไฟเองมีทีวีดูอยู่หลังเดียวในละแวกนั้น ด้านในโรงสีปูพื้นด้วยปูนซีเมนต์ลาดยาง ด้านข้างๆก็เป็นเครื่องสี ด้านซ้ายก็จะเป็นกระสอบข้าวสารที่สีเสร็จแล้วรอขนไปในเมืองตลอดแถวซ้ายนั้นจะเรียงข้าวสารยาวจากด้านหลังไปถึงลานท่าน้ำเว้นช่องตรงกลางไว้เดินไปมา ด้านหลังสุดแถบซ้ายจะติดกับห้องครัวเจ้าของโรงสีที่เดินเข้าออกคอยสอดส่องลูกน้องไปด้วย
ส่วนลานตากข้าวด้านนอกเมื่อเปิดออกไปด้านซ้ายจะเป็นโครงสร้างมีแต่เสา ไม่กั้น เปิดโล่งเลย มุงแต่สังกะสีเอาไว้กันแดดฝนและเก็บข้าวเปลือกที่ตากรอสี
รอบๆบริเวณลานกว้างเป็นต้นกล้วยปลูกช่วงกลางๆสองแถวยาวเถิบไปด้านขวาจะเป็นเล้าไก่ โอ่งกลมสีส้มไว้รองน้ำฝนให้คนงานกินถัดไปอีกสามสี่ก้าวเป็นคูน้ำเล็กๆกั้นด้วยกำแพงปูนไม่สูงนักกันคลื่นซัดเข้ามาลากดินลงคลอง ในคูนั้นยังปลูกผักบุ้ง
ถัดจากโอ่งไปอีก จะเป็นต้นชมพู่ที่ให้ลูกดกมากสี่ห้าต้นและตอนนี้ก็เริ่มมีดอกแล้ว ถัดมาอีกเป็นบ้านพักคนงานที่ไร้ที่อยู่(คนต่างถิ่น)ยกครอบครัวมาอยู่ที่นี่เลยส่วนด้านนอกติดกับรั้วลวดหนามเลยจะเป็นต้นละมุดที่ขุดโคกดินสูงขึ้นล้อมรอบอีกชั้น
และตรงโครงสร้างที่เก็บข้าวเปลือกรอนั้นด้านบนก็จะตีเป็นท่อยาวไปทางด้านหลังสุดเพื่อพ่นแกลบออกไปกองรวมที่นั่นครั้นพอสูงมากๆ เข้าเถ้าแก่ก็ให้คนงานจุดไฟเผาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการดับควันก็กระจายไปทั่วบริเวณเกาะตามกิ่งไม้ใบหญ้าที่ปลูกรายล้อมไม่เว้นแม้แต่บ้านของเพื่อนบ้าน รวมทั้งบ้านฉันด้วย
ลุงอรุณเจ้าของโรงสีแกเป็นคนใจดีเป็นที่รักของคนแถวนั้น นานๆ ครั้งแกจะกลับจากในเมืองมาพักบ้าน มีแต่เมียของแกอยู่และจะเข้าเมืองในวันเสาร์ตอนเย็นลุงอรุณกับลูกชายจะอยู่ในเมืองมากกว่า ลูกเรียน ส่วนสามีแกติดต่อค้าขาย
วันนั้นฉันกลับจากโรงเรียนก็ออกไปช่วยแม่ที่ทุ่งนาไกลจากบ้าน และขี่ม้ากลับบ้านเพราะแม่จะพามันไปด้วยเสมอกันไม่ให้ฉันไปเล่นกับเพื่อนๆด้วยห่วงม้ามากกว่าจะห่วงเล่นก่ะเพื่อนๆ
ตะวันเริ่มโพล้เพล้ สีเทาพาฉันควบกลับบ้านระหว่างทางมีอีกาบินตามมาด้วยแค่นั้นไม่พอ มันเสือกร้องตามมานี่สิ กลัวก็กลัว ห่วงแม่ก็ห่วงแต่คิดอีกทีแม่มีเจ้าหมีกับพี่สาวอยู่ด้วย ไม่เป็นไร สีเทาพาฉันกลับถึงบ้านปลอดภัยแม้จะขนลุกบ้างบางครั้ง
“พี่เม พี่เม โอ้ยยย ! ทำไมมันทรมานอย่างนี้”
นั่นไง ไอ้ตี๋เริ่มบ่นมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่อัดอั้นกับเรื่องอะไรที่มันรู้มา
“ทำไม เอ็งเป็นอะไรนักหนาห๊าไอ้ตี๋เห็นจะตายทุกทีสิน่า วันนี้มีอะไร รีบรายงานมาเลย เร็ว ข้าร้อนอยากโดดน้ำจะแย่ล่ะ”ฉันแกล้งขึ้นเสียงก่ะมันไปงั้นแหล่ะ หมั่นไส้น่ะ
“พี่เมพี่เอามือมานี่”ไม่พูดเปล่าหรอกนะ มันยื่นมือมันมาคว้ามือฉันไปแตะที่อกน้อยๆด้วย “พี่รู้สึกไหม หัวใจฉันเต้นแรงมาก หน้าฉันก็ร้อนๆ ด้วย “
“ไอ้....”
******************
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น