Translate
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558
~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่ ๙
บทที่ ๙
เมื่อฟังหญิงสาวพูดจบ นาทีนี้เมฆรับรู้ได้ทันทีว่ายุกันดานั้นพร้อมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว หล่อนพร้อมและ ยอมสละชีวิตเพื่อที่จะติดตาม ดิษฐ์คนรักของหล่อน เพื่อจะไปยังทุกที่ที่หนุ่มใหญ่ผู้นี้ไป เมฆมองผ่านม่านน้ำตาที่ขังคลอเต็มสองเบ้า ด้วยความเจ็บร้าวไปทั่วร่าง แต่เขาก็ไม่คิดว่าหัวหน้าแผนกจะพาหญิงสาวไปด้วยได้ แต่ความตื่นตระหนกก็ทำให้เขากล่าวยับยั้งออกไปทันที
“อย่านะครับหัวหน้า หัวหน้าอย่าทำอย่างนั้นนะ ปล่อยยุเถอะ ถ้าคุณคิดและยังรักเธอ คุณก็ไม่สมควรจะพรากเธอไปไหน ปล่อยให้เธออยู่กับครอบครัวของเธอทางนี้ดีกว่า ใช่มั๊ยล่ะ? ถ้ารัก...” ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้น เขาก็ต้องหยุดกะทันหัน เพราะลำคอของเขาตอนนี้มันขมปร่าไปหมด แม้พยายามจะฝืนกลืนน้ำลายก็ยังยากเต็มที แต่เขาก็ยังฝืนกลืนก้อนขมๆนั้นลงไปจนได้
“หัวหน้าครับ ถ้าคุณยังรักยุ ได้โปรดละความคิดอันนั้นไว้เถอะครับหัวหน้า คุณน่าจะยอมให้ยุกันดาอยู่อย่างมีความสุข...ไม่ใช่หรือครับ? ”
เมฆกล่าวคำพูดที่ค้างเอาไว้เมื่อสักครู่ต่อ และพยายามยืดลำตัวตั้งตรง เพื่อเป็นการผ่อนคลายตนเอง ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองอย่างไม่อาย ในตอนนี้เขารู้ตัวดีว่า เขาช่างอ่อนแอเหลือเกิน..
“หัวหน้าไม่รักเธอแล้วหรือยังไง? ”
คำตัดพ้อของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง ทำให้ดิษฐ์ยืนนิ่ง เขาไม่กระดุกกระดิกส่วนใดในร่างกาย จะมีเพียงแต่ลูกตาที่กรอกไปมา แม้ยามนี้จะมีร่างบางของภรรยายืนแนบข้าง วงแขนเรียวงามโอบกอดไปรอบคอทั้งซบใบหน้ากับอกกว้างอยู่ก็ตามที ชายหนุ่มเพียงแค่โอบแขนสอดกระชับเอวบางของหล่อนไว้หลวมๆ เท่านั้น ก่อนจะก้มลงมองและเกลือกกลั้วใบหน้าตนเองเคล้าเคลียกับเส้นผมของหล่อนไปมาด้วยความรักใคร่ ไหลหลงในตัวภรรยาสาว ที่เขาต้องจากอย่างไม่มีทางย้อนเวลาหวนคืนได้
“คุณดิษฐ์! ” ยุกันดาเรียกเขาเบาๆ หล่อนคลายมือที่โอบไปรอบลำคอของเขาออกมาแตะผิวที่โชกเลือด ลูบไล้ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงใบหน้าของเขาที่หล่อนค่อยๆ บรรจงปาดลิ่มเลือดออกไปอย่างเบามือ แต่ดิษฐ์นั้นไม่รู้สึกอะไร เขากลับหันไปสนใจเมฆและถามเสียงห้วนขุ่น
“นายมาที่นี่ได้ยังไง? ” เขาถามออกไปหลังจากที่ตั้งสติได้ คำถามของเขาทำให้เมฆงงงัน ก่อนจะแปลกใจ
“ครับ? ”
ดิษฐ์จ้องมองเมฆด้วยแววตาดุดัน และคาดคั้น “ทำไมนายมาที่นี่ นายมีพลังมายังเขตแดนที่ติดต่อกับปรภพนี้ได้ยังไง เมฆ!”
เมื่อจบประโยคของอดีตหัวหน้า และโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เขาก็ตะโกนตอบไปทันที
“เพราะผมรักยุกันดาเหมือนหัวหน้าไงครับ ผมจึงจึงมีพลัง มันเป็นพลังของความรักและความห่วงใย ถึงแม้นว่าเขาจะถอนหมั้นผมมาหาหัวหน้าก็เถอะ ความรู้สึกของผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเธอ ผมอยากเห็นยุกันดามีความสุขครับหัวหน้า และยังไงผมก็ทนได้ แต่ที่ผมไม่ทนคือ หัวหน้าได้ตายไปแล้ว หัวหน้าก็น่าจะอยู่ในส่วนของหัวหน้า ไม่ใช่มาอยู่กับพวกผมอย่างนี้”
หวิวววว....
เมฆตะโกนเสียงดังแข่งกับสายลมที่พัดหวีดหวิวอยู่ภายนอก จนหน้าต่างไหวยวบยาบก่อนจะเปิดออกและตีปิดกลับมาเสียงดังจนเขาสะดุ้งสุดตัว
พรึบบบ ปัง....
ยิ่งเขาเห็นดิษฐ์โอบประคองหญิงคนรัก ทั้งสองไม่สนใจเขาที่ยืนอยู่ด้วย เหมือนโลกทั้งใบนี้เป็นของพวกเขากระนั้น เมื่อแรงกดดันจากภายในมันมีมาก ตอนนี้เมฆอยากจะพูดๆ ๆ พูดในสิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในอกของเขาออกมาให้โลกรับรู้ เขาอยากระบายความรู้สึกต่างๆ อย่างไม่ปิดบังให้ทั้งสองเข้าใจ
“หัวหน้าครับ หัวหน้าทำให้ยุกันดามีความสุขไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ได้โปรดปล่อยเธอเถอะครับหัวหน้า ผมขอร้อง ได้โปรด ปล่อย เธอ ไป เถอะ ? ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นฟังกระท่อนกระแท่น และสะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก เขายกมือปิดหน้า เมื่อสมองไปนึกถึงคำพูดของยุกันดาที่ยังดังก้องอยู่ในสมองของเขาเมื่อสักครู่ว่า หล่อนไม่ต้องการจะอยู่ในโลกนี้เมื่อปราศจากดิษฐ์ผู้เป็นสามี
“ไม่นะคะ คุณดิษฐ์ อย่าไปฟังเมฆนะคะ กรุณาพายุไปด้วยเถอะค่ะ นะคะ พาไปเร็วสิคะคุณดิษฐ์ นะคะ พาฉันไป อย่าไปฟังเมฆเลย เราจะอยู่ด้วยกันชั่วนิจนิรันดร์ไงคะ? คุณยังจำคำพูดของคุณได้ไหม ที่จะอยู่และรักฉันชั่วนิจนิรันดร์” ไม่พูดเปล่า สองมือก็เขย่าลำแขนของหนุ่มใหญ่ไปด้วย ใบหน้าก็แหงนขึ้นถามด้วยน้ำสียงเครือสะอื้น
ทั้งวิงวอนขอร้อง ใครมาฟังหรือได้ยินเข้าก็คงอดสะเทือนใจไม่ได้ แม้ร่างหนาที่ยืนท่ามกลางหมอกควันจะเฉย แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้ ดวงใจของเขาแทบจะขาด แต่ก็พยายามสะกดกลั้นมันไว้ในอก ร่างกายภายนอกยืนเฉย แต่ทว่า ดวงตาและสมองเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เพระเมฆสังเกตเห็นคิ้วหนาขมวดมุ่นใบหน้าส่ายเล็กน้อย เหมือนกำลังตัดสินใจ ชายหนุ่มไม่เอ่ยหรือขยับไปไหน เพราะเขาก็กำลังลุ้นว่าร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณแล้วข้างหน้าจะทำและตัดสินใจอย่างไร
ดิษฐ์หลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเอื้อมมือของเขาไปแตะมือเรียวอย่างนุ่มนวล พร้อมทั้งค่อยๆ แกะนื้วมือบางออกจากแขนอย่างทะนุถนอม ตอนนี้เขาเริ่มวางใจแล้วว่า คนที่เขารักนักหนาจะมีคนที่รักหล่อนมากไม่แพ้ตัวเขาเช่นกัน คอยดูแลและปกป้องหล่อนได้เป็นอย่างดี
ยุกันดาพยายามยื้อยุคทั้งดึงรั้งชายเสื้อที่เขาสวมเอาไว้ เขาแกะ หล่อนคว้า ฝ่าม่านน้ำตากับร่างของสามี ที่ตอนนี้รอบๆ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหมอกสีขาวพร่างพราย ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เลือนรางหายไปจากปลายเท้า ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมาจากร่างหนานั้น มีเพียงสายตาที่จ้องใบหน้าเมฆเขม็ง ประกายตาที่ส่งไปนั้น เมฆรับรู้และพยักหน้าช้าๆ ร่างหนาท่ามกลางหมอกควันนิ่งเงียบก่อนจะก้มมองร่างบางของยุกันดาอีกครั้ง เขาแกะมือหล่อนต่อ อย่างนุ่มนวล ตอนนี้เขามีความสุข
สุขเพราะมีคนทำหน้าที่ดูแลคนที่เขารักได้ เขาพร้อมและไว้วางใจหนุ่มรุ่นน้องคนนี้มาก
“ลา ก่อน นะ ยุ กัน ดา ชาติ นี้ ผม บุญ น้อย วา ส นา เรา มี ต่อ กัน เท่า นี้ หาก ชาติ หน้า มี จริง ขอ ให้ เรา มา เจอ และ รัก กัน อีก นะ ” คำพูดที่เนิบช้าหลุดออกมาแสนจะยากเย็น ที่ล่ะประโยคที่ทำให้คนฟังหรือได้ยินต่างก็หนาวยะเยือกไปตามๆ กัน แต่เมื่อสิ้นประโยคนั้น ร่างกายบางส่วนของเขาก็เลือนหายจวนจะหมดแล้ว พร้อมๆ กับที่ร่างบางก็เริ่มขยับและส่งเสียงออกมาได้ แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามันอ่อนล้าโรยแรงเสียเหลือเกิน
“ไม่นะคะคุณดิษฐ์ อย่าทิ้งยุไว้แบบนี้สิ? ได้โปรด…พายุไปด้วยคนเถอะนะคะ... ” เสียงร้องเศร้าสร้อย น้ำเสียงวิงวอนออดอ้อนอย่างน่าสงสาร ทั้งถลาตามควันสุดท้ายของเขาไปพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เสียดแทงความรู้สึกของผู้ที่ได้ฟัง ปานคนเจียนจะขาดใจตายตาม
“โธ่! คุณผู้ชาย..ไม่น่าเลย ฮื่อ ฮื่อ...”พูดจบก็ซบหน้าลงบนบ่าของชายหุ่นกำยำที่ยืนแอบข้างๆ อีกฟากฝั่งของเรือนรับรองที่มีช่องอยู่เพียงเล็กน้อย แต่หูก็ยังได้ยินการตอบโต้ไปมาของนายที่อยู่ในเรือนอย่างถนัดถนี่
“ไม่นะ คุณดิษฐ์ ไม่.....” เสียงตะโกนก้องดังไปทั่วเรือน เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เมฆจะถลาเข้าไปดึงร่างของหญิงสาวที่ฟุบลงกับพื้นให้ลุกขึ้นมายืนใหม่ ม่านหมอกควันหนายังลอยวนเป็นก้อนอยู่เบื้องหน้า เหนือม่านควันนั้นยังมีสายตาของดิษฐ์ที่มองมาสบอีกครั้งเพื่อเป็นการฝากฝังหญิงสาวคนรักไว้กับเขา และเขาก็พยักหน้าพร้อมที่จะทำตามคำฝากฝังนั้นอย่างเต็มใจไปพร้อมกับหัวใจของตนเอง
คราวนี้ไม่มีการยื้อยุคฉุดกระชากเหมือนช่วงที่ผ่านมา กลุ่มควันม้วนล้อมกลืนร่างที่โชกเลือดของดิษฐ์หายไป กลับกลายเป็นชายหนุ่มใหญ่ที่ยังคงความหล่อเหลาอยู่เช่นเดิม
ริมฝีปากหยักคู่นั้น ค่อยๆ เผยอออกและเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วโหย “ผม รัก คุณ ยุ กัน ดา ผม จะ รัก คุณ ไป ชั่ว นิจ นิ รันดร์.....” ปลายเสียงแม้จะเบาแต่ทว่าทั้งคู่ก็ได้ยินอย่างถนัดถนี่
“คุณดิษฐ์ คุณดิษฐ์คะ? ได้โปรด กรุณายุด้วย อย่าทิ้งฉันไปนะ ยุขอร้อง....” ร่างบอบบางที่อยู่ในการประคองของเขาถลาตามไปอีกครั้ง เมฆต้องออกแรงคว้าหล่อนเอาไว้แล้วรั้งมาทั้งตัว ก่อนร่างบางจะถลันตามไป ชายหนุ่มต้องใช้แรงของลำแขนโอบกอดหล่อนเอาไว้แน่น ลูบแผ่นหลังเบาๆอย่างปลอบประโลม
กลุ่มควันได้จางหายไปพร้อมกับร่างของดิษฐ์
……………………………………
สองปี...ผ่านไป
“เดี๋ยวใครก็ได้ ช่วยเอาอาสนะของพระคุณเจ้าไปวางให้ครบที ตรงด้านหน้าที่ป้าจัดไว้น่ะ”คุณนายจันทร์โฉมบอกเด็กด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะหันกลับไปข้างในและสบตากับสามี ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอิ่มเอิบใจ
“เอ้าแม่ ใครไปรับท่านต้นหรือยังล่ะนี่ หือ...”คุณประภาสถามภรรยาที่เดินเข้ามาใกล้อย่างปรึกษาหารือ
“บอกตาแม้นไปรับแล้วล่ะพ่อ อีกสักประเดี๋ยวก็คงจะมาถึง ทางนี้แขกเหรื่อก็คงจะกินข้าวกินปลากันเป็นที่เรียบร้อยนะคิดว่า พ่อล่ะ มีความสุขไหมกับวันที่ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝาตามที่ต้องการ”คุณนายถามสามีตรงๆ
“ใช่ เราคนเป็นพ่อและแม่ อดที่จะปลื้มใจไปกับเขาไม่ได้ ใครเลยจะคิดว่าพ่อเมฆจะรักและรอคอยลูกสาวของเราได้นานขนาดนี้ และคุณดิษฐ์เองก็คงตายตาหลับเพราะฝากคนรักไว้ถูกคน จริงไหมแม่....”พูดจบท่านก็ยื่นแขนมาแตะที่เอวของภรรยาให้เดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน โดยมีสายตาของชาวบ้านแถบนั้นมองอย่างชื่นชม กับความรักลูกและครอบครัวของตระกูลนี้
“คุณเข้าไปคุยกับแขกก่อนคะ ฉันจะเข้าไปดูลูกสักหน่อย ไม่รู้ว่าแต่งตัว แต่งหน้าออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง”กระซิบบอกคุณประภาสเบาๆ
“จ้ะ อย่านานนักล่ะ แม่ผ่องช่างประจำตัวของคุณเขาไว้ใจได้นะผมว่า”สามีบอกยิ้มๆ มาพร้อมกับส่งสายตาเจ้าชู้มาให้ ทำให้คุณจันทร์โฉมค้อนส่งไปวงใหญ่ที่เดียว แต่ก็ไม่จริงจังนัก ดูทั้งสองจะมีความสุขที่มีลูกสาวและลูกชายได้ดีไปคนล่ะแบบ ถึงแม้นลูกชายจะไม่ยอมสึกเพราะดื่มด่ำกับรสพระธรรมก็ตามที แต่ทั้งสองก็ยังมีลูกสาวที่กำลังจะมีครอบครัวและคงจะมีเจ้าตัวน้อยออกมาให้ได้ชื่นใจอย่างแน่นอน ในไม่ช้านี้
“ฮึ ฮึ...”หัวเราะแค่นั้น คุณประภาสก็รีบเดินจากไปเพราะไม่อยากเสี่ยงกับการโดนทุบต้นแขน
คุณนายจันทร์โฉมเดินแยกจากสามีมาอีกฟากของเรือนที่ซึ่งเป็นห้องแต่งตัวของเจ้าสาว เมื่อไปถึงก็เคาะประตูเบาๆ
ก๊อกๆ ก๊อก....เอี๊ยด...
ประตูถูกเปิดและผลักเข้าไปอย่างเบามือ เมื่อแย้มหน้าเข้าไปก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนหวานจากลูกสาวและช่างที่หันมามอง
“คุณนาย เชิญค่ะ มาช่วงผ่องดูหน่อยว่าแต่งหน้าประมาณนี้พอไหม”ผ่องช่างแต่งหน้าและทำผมประจำของบ้านหันมาขอความเห็นด้วยแววตายิ้มแย้ม
“อือม..หวานทีเดียวแม่ผ่อง ไม่จัดจ้านเกินไปและไม่อ่อนเกินไป กำลังเหมาะเชียวล่ะ หือ! ว่าไงเจ้าสาวชอบไหมลูก..”หันไปถามลูกยิ้มๆ
“ค่ะ คุณแม่ ยุว่ากำลังดี”ตอบพร้อมทั้งก้มหน้าเอียงอาย ทำให้ทุกคนในห้องมองอย่างเอ็นดูกับท่าทีที่เห็น
ยุกันดายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมฆก็อยู่กับเธอตลอดระยะเวลาสองปี เขาทำดีด้วยตลอดเวลา ห่วงใยเธอเสมอ.. คอยดูแลทุกข์สุขไม่เคยห่าง และที่หล่อนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเขา ตอนนี้หล่อนกำลังจะแต่งงานกับเมฆ และตลอดเวลาที่อยู่มานี่หล่อนคาดว่าเมฆคงทำให้หล่อนมีความสุขได้แน่ๆ และเขาก็ทำให้หล่อนยิ้มขึ้นมาได้อีกครั้ง
แต่ถึงกระนั้น ส่วนหนึ่งของจิตใจและวิญญาณก็ยังคงติดตรึงอยู่กับดิษฐ์ชั่วนิจนิรันดร
อวสาน
โดย..เงาบุหงา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น