Translate
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558
~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่๒
บทที่ ๒
บรืน ...
หญิงสาวหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ จนเมื่อบิดามารดากลับจากวัดและเข้ามานั่งนั่นและ หล่อนจึงลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย
“ฮ่าฮ่า วันนี้ พ่อมีความสุขจัง นานๆ ได้คุยกับท่านต้น เป็นไงบ้างคุณ หายคิดถึงลูกหรือยัง ” คุณประภาสหันไปถามภรรยายิ้มๆ ด้วยใบหน้าอิ่มเอมใจ ที่มีลูกชายอยู่ในร่มผ้ากาเสาวพัฒน์ เบาใจไปได้เยอะจากที่เคยเกเรเกตุงจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับมานาน ตอนนี้เหมือนหลุดจากแวดวงนั้น มีโชคเข้าข้าง ที่ทำให้ลูกทั้งสองก้าวถึงฝั่งอย่างไร้กังวล
“อ้าว.แม่ยุ พ่อเมฆกลับไปนานแล้วหรือลูก" มารดาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งเดินไปรินน้ำมาวางให้สามีและตนเอง ก่อนมาหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามลูกสาวที่เพิ่งลุกขึ้น ยุกันดามองผู้บังเกิดเกล้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนทำหน้ายู่ด้วยความเจ็บปวด จนทั้งสองมองหน้ากัน เมื่อสังเกตใบหน้าลูกสาว
“มีอะไรหรือเปล่าลูก เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน หรือมีอะไรจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง” คุณประภาสบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ยุกันดาส่ายหน้าก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อนต่อ เพราะปวดหัว คุณประภาสและคุณจันทร์โฉมมองตามด้วยความห่วงใย ด้วยปรกติลูกสาวไม่เคยมีสีหน้าที่อมทุกข์เช่นนี้
คุณนายจันทร์โฉมทำอาหาร คุณประภาสถือโอกาสเดินขึ้นไปหาลูกสาวที่ห้อง เห็นประตูเปิดจึงเคาะส่งสัญญาณ
ก๊อก ก๊อก..
“เชิญค่ะ” อนุญาตทั้งไม่หันมามอง หน้ายังเอียงซบอยู่กับหมอนเหมือนเดิม นั่นยิ่งเพิ่มความห่วงใยให้คุณประภาสหนักเข้าไปอีก ฝ่ามือหนาที่แผ่ความอบอุ่นเอื้อมไปแตะที่แขนเบาๆ
“มีอะไรไม่สบายใจไหนเล่าให้พ่อฟังสิ เราพ่อลูกกัน มีปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้”
คราวนี้ ยุกันดาเบือนหน้ามา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง และโผเข้าหาอ้อมอกบิดา เท่านั้น น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลลงมาเป็นทาง ตามด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ ใบหน้าส่ายไปมา คุณประภาสไม่เซ้าซี้ เพียงแต่บอกว่า
“งั้นอยากบอกพ่อตอนไหนก็ค่อยบอกแล้วกัน อย่าลืมว่าพวกเราจะไม่ปกปิดปัญหากันนะลูก”
หล่อนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคร้ามเข้มของบิดาตรงๆ หัวคิ้วขมวดมุ่น เพราะไม่รุ้จะเริ่มยังไงดี
ทั้งคู่ต่างเงียบกันไปพักหนึ่ง หล่อนค่อยๆ ดันร่างถอยออกมาจากอ้อมอกกว้าง ยกมือปาดน้ำตาออกจนหมด เงยหน้ามองบิดาอีกครั้งพร้อมถอนหายใจแรงๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ
“เอ่อ...” คำพูดติดอ่างเสียอย่างนั้น
“เอ้า.! มีอะไรก็พูดมาเถอะลูก ถอนหายใจจนพ่อเหนื่อยแทนแล้ว” คุณประภาสแซวลูกสาว ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เอ่อ.! คุณพ่อคะ ถ้าหนูอยากจะยกเลิกการแต่งงานกับเมฆละคะ คุณพ่อจะโกรธหนูไหม” สิ้นประโยคนั้น ใบหน้าคุณประภาสขรึมลงไปทันที จนหล่อนหายใจไม่ทั่วท้อง
เพล้ง...
ทั้งสองสะดุ้ง รีบหันไปทางต้นเสียงนั้นอย่างเร็ว ยุกันดามองมารดาที่ยืนใบหน้าซีดเผือดอยู่หน้าประตูด้วยความตกใจ แต่ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา แม้ชามข้าวต้มอุ่นๆ ที่ถือจะตกแตกน้ำร้อนๆ กระเซ็นไปโดนขาท่านก็ไม่ส่งเสียง
“คุณ...” คุณประภาสเรียกภรรยาเสียงดัง
“คุณแม่..” หล่อนเรียกอย่างตกใจ แล้วทั้งสองก็ถลันเข้าไปหาร่างนั้นพร้อมกัน
“อย่าแตะต้องตัวฉันนะ..” เป็นคำขาดจากปากท่านอย่างเย็นชา “ไหน แกพูดใหม่อีกทีซิแม่ยุ ว่ายังไงนะ” ย้ำถามเสียงต่ำ บ่งบอกอารมณ์โกรธ
“คุณแม่คะ.!”
“แกไม่ต้องมาเรียกฉัน ไหนพูดมาใหม่อีกทีซิ” คำนั้นทำให้หล่อนรู้ว่าท่านกำลังโกรธจัด แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงจะไม่มีทางเลือก
“หนูไม่อยากแต่งงานกับเมฆค่ะ” เอ่ยออกมาด้วยความยากลำบาก
“ฉันไม่ยอม ทำไม? ตาเมฆมีอะไรที่ไม่ดีงั้นรึ หรือพ่อเมฆไปทำอะไรไว้ไม่ดี แกถึงคิดจะล้มเลิกงานแต่งนี้น่ะ ห๊า ! แม่ยุ” น้ำเสียงนั้นตัดพ้อแทนชายหนุ่ม หล่อนรู้ดีว่าพ่อกับแม่รักเมฆ แต่หญิงสาวไม่ตอบ เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้า ก้มกราบแทบเท้าท่านทั้งสอง แล้วร้องไห้ออกมาต่อหน้าอย่างอัดอั้นตันใจ
“หนูขอกราบขอโทษคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ หนูก็ไม่รู้ แต่หนูไม่อยากแต่งงาน เมฆไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย หนูผิดเอง หนูอยากอยู่อย่างนี้อีกหน่อย อยากจะอยู่คนเดียว นะคะ คุณพ่อ คุณแม่ ให้หนูอยู่อย่างไม่มีพันธะได้ไหม” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาวิงวอน
“เท่านี้หรือที่แกต้องการ จริงหรือแม่ยุ เท่านี้หรือที่แกกล้าล้มเลิกงานแต่งงานที่เตรียมไว้อย่างหรูหรา หืม..แกไม่คิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่และตาเมฆบ้างหรือ ที่ไปเชิญญาติผู้ใหญ่มาเป็นพยานไว้แล้วน่ะ เหตุผลไม่มีเอาเสียเลย”ท่านตำหนิแล้วหยุดไปนิดหนึ่ง “แกช่วยไปนอนคิดให้รอบคอบหน่อย ว่าที่ทำนะถูกแล้วหรือไม่” ท่านกล่าวไว้เท่านั้นก่อนจะก้าวออกไป
ยุกันดาหันมองบิดานิ่งๆ หล่อนเห็นบิดายืนกำมือเข้าหากันแน่นอย่างระงับอารมณ์
“เดี๋ยวเก็บชามที่แตก แล้วไปพบพ่อที่ห้องทำงาน” น้ำเสียงสั่งเฉียบขาดจนอดใจสั่นไม่ได้
“ค่ะ..คุณพ่อ”
ท่านเดินจากไปอีกคน หล่อนยืนเหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือ ยามนี้หล่อนยอมแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อตัดสินใจพูดออกไปขนาดนี้ เรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องพร้อมจะยอมรับ ค่อยๆ ยกมือขึ้นไล้ปอยผมไปด้านหลัง ก่อนจะเริ่มเก็บเศษแก้วที่แตก
อะไรจะเกิดก็ให้เกิด จะไม่สน ไม่แคร์อะไรแล้ว เมื่อทุกอย่างมาถึงทางของมัน มีแต่ต้องกล้าเผชิญ ในเมื่อหล่อนกล้ารักกล้าหักหาญน้ำใจของคนรอบข้าง หล่อนก็พร้อมและกล้าจะเปลี่ยนแปลง
***************
โดย..เงาบุหงา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น