Translate
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558
~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่ ๓
บทที่ ๓
เช้านี้ยุกันดามาทำงานสายนิดหน่อย และหล่อนก็เดินสวนกับเขา ผู้ชายคนที่เข้ามาครอบครองหัวใจเต็มอยู่ทุกห้องในตอนนี้ ต่างคนต่างหยุดมองหน้าสบตากันโดยไม่ต้องพูด ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นสื่อถึงกันเอง ก่อนจะแยกกันไปทำงาน
คิ้วสองข้างของหล่อนขมวดเข้าหากันตลอดเวลา ในระยะของการทำงานช่วงเช้า จนได้เวลาพักทานอาหารกลางวัน เมฆก็เดินมารับหล่อนที่ห้อง นั่นจึงเป็นโอกาสที่จะพูดกับเขา
“ยุ วันนี้เราจะทานอะไรกันดีเอ่ย หืม..ทำไมหน้าซีดจัง ไม่สบายหรือเปล่านี่” เขาไม่พูดเปล่า แต่เดินเข้ามาเอามือแตะที่หน้าผาก หล่อนรีบเอียงกายหลบ นั่นยิ่งทำให้เขามองพร้อมทั้งเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างงงกับท่าที
“เมฆคะ ยกเลิกการแต่งงานเถอะ..” หล่อนเอ่ยกับเขาด้วยน้ำสียงราบเรียบ เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้า และรีบดีดตัวขึ้นอย่างเร็ว ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรนะ ไหนพูดใหม่อีกทีสิ..!” เขาถามย้ำในสิ่งที่หล่อนพูด สีหน้านั้นเข้มจนออกแดง ที่ย้ำถามในสิ่งที่หล่อนเอ่ยเมื่อสักครู่
ยุกันดาถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ “เรายกเลิกการแต่งงานกันเถอะค่ะ” เท่านั้นเอง
ปัง
“ทำไม ผมทำผิดอะไร อยู่ๆ คุณถึงมาบอกให้ยกเลิกการแต่งงาน คุณไม่พอใจอะไรในตัวผม คุณพูดกับผมสิ แต่อย่าทำแบบนี้ มีอะไรมากกว่านั้น บอกผมหน่อยสิยุ” เมฆกำมือเข้าหากันแน่น หลังจากที่ทุบโต๊ะเสียงดัง โดยไม่กลัวมือจะพัง ริมฝีปากนั้นสั่น ใบหน้าก็ซีดจนหม่นและหมองลงถนัด หล่อนรู้ว่าที่พูดไปนั้นทำร้ายความรู้สึกของเขาไม่น้อย เพราะเห็นเขานิ่งไป แต่สายตาหันมาจับจ้องหล่อนเขม็ง ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เหมือนคนไม่อยากเชื่อ ว่าที่พูดกับเขาอยู่ในตอนนี้ จะใช่หล่อนหรือเปล่า ช่คนที่เขารู้จักไหม
“ไม่มีค่ะ คุณไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงเลย แต่ยุ ยุไม่ดีพอสำหรับคุณ อย่าถามยุอีกเลยนะคะเมฆ ยุขอร้อง” หล่อนพูดไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า เสียงก็ชักเริ่มสั่น
“คุณอย่าพูดบ้าๆ สิยุ วันแต่งของเราเหลืออีกไม่ถึงเดือนแล้วนะ มันไม่ง่ายอย่างที่พูด แขกเราเชิญแล้ว จะยกเลิกยังไง คุณคิดหน่อยสิยุ” เขาโวยวายเสียงไม่ดังนักเพราะอยู่ในห้องแอร์ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดตามหน้าผากแม้เครื่องปรับอากาศจะยังทำงาน สายตาที่มองหล่อนนั้นก็ตัดพ้ออย่างเปิดเผย
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะเมฆ ยุพูดจริงๆ” หญิงสาวยังคงยืนยัน สิ่งเดียวเท่านี้ที่หล่อนทำได้ เมื่อพูดออกไปแล้วก็โล่งอก ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา นอกจากสายตาที่มองมาเหมือนจะหักคอหล่อนเสียให้ได้ ก่อนจะกระแทกเท้าหนักๆ ผลุนผลันพาร่างออกไปจากห้องอย่างคนขวัญเสีย
“เมฆคะ ! ยุขอโทษจริงๆ” หล่อนพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และรู้ดี ว่าจิตใจของเขายามนี้เป็นอย่างไร หล่อนเองก็สับสนหวาดหวั่นไม่ต่างอะไรกันคนที่ทำผิด เพียงแต่อยากทำตามที่ใจร่ำร้องเท่านั้น เป็นความผิดด้วยหรือ?
หญิงสาวค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแล้วปิดเปลือกตาแน่น ปล่อยสมองให้ลอยเคว้งคว้างไปเรื่อยๆ เมื่อหล่อนเพิ่งจะทำให้คนที่ไม่อยากให้เจ็บปวดต้องเจ็บปวดและเจ็บช้ำ มันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่มันเป็นความผิดของหล่อนเองที่มักง่าย เกิดมีรักขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนกับคนที่ไม่คุ้นเคย แต่ในความรู้สึก มันกลับคุ้นเคยกันมากมาย และมีความสำคัญต่อเธอมากจนยากจะปล่อยให้ผ่านไปได้
หล่อนไม่สนใจว่าใครจะหมางเมินกับหล่อนบ้าง ขอเพียงแค่เริ่มต้นเดินไปพร้อมกับเขา ได้เป็นคนของเขา และเป็นคนๆ เดียวกัน
หล่อนอยากสัมผัสผิวเนื้อของเขา เพื่อรับรู้ถึงไออุ่นจากเรือนกาย ได้พูดคุยโดยไม่ต้องกอดกันก็ได้ อยากสบตาบ้างใกล้ๆ ได้ทานอาหารและลิ้มรสในสิ่งเดียวกัน กับเขา
ได้ดูได้ทำในสิ่งเดียวกัน เท่านั้น ทุกอย่างก็ช่างมหัสจรรย์มากแล้ว
ยุกันดาไม่เคยเชื่อถือเรื่องบุพเพสันนิวาส แต่บัดนี้ หล่อนเชื่อแล้ว
ทุกเวลานาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็ผ่านมาด้วยดี ณ วันนี้ วันที่หล่อนได้เลือกชีวิตตามใจตัวเองเฝ้าฝัน
ได้ลิ้มรสชาติของชีวิตคู่ ที่มีหล่อนกับดิษฐ์มาเริ่มต้นใช้ หลังจากมีปากเสียงกับทางบ้านและเมฆได้เพียงอาทิตย์เดียว
ทุกๆ อย่างดูราบรื่นและไม่มีข้อผิดพลาดสำหรับหล่อนและเขาอีกแล้ว
เป็นการยอมรับซึ่งกันและกัน หล่อนมีความสุข กับชีวิตจุดนี้ ที่ได้เลือกเอง ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา จากเขาและหล่อน มีแต่ความรู้สึกผูกพัน ความเข้าใจที่เป็นตัวแปรจึงมีวันนี้
พิธีแต่งงาน มีเพียงเขากับหล่อนสองคน ที่ต่างก็เป็นพยานให้กับคำสัญญาของตัวเอง เดือนกว่าๆ ที่หล่อนมาอยู่กับเขา และลาออกจากงานที่ทำ แต่ละวันทั้งสองเหมือนคู่สามีภรรยา แม้ไม่ได้จัดงานแต่งกันใหญ่โต แต่ก็เป็นในแบบที่ทั้งสองถูกใจ โดยไม่ต้องเอ่ยปากก็ต่างรู้ดี
ทั้งเขาและหล่อนก็เลือกบ้านพักริมทะเลแห่งนี้เป็นสถานที่ฮันนี่มูน แม้ไม่ใช่เกาะสวยหรูอย่างที่เคยคิด แต่ก็เป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัว ที่เปิดต้อนรับการมาของหล่อนตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่เขาให้คนขับรถมาส่งก่อน ตัวเขานั้นติดงานจึงมาพร้อมกันไม่ได้ เพราะต้องเข้าประชุมใหญ่ตั้งแต่เย็นวาน แต่เขาบอกว่าจะตามมาเมื่อเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย
ยุกันดาชอบทะเล ยิ่งมีบ้านสวยๆ อย่างนี้ให้นอนดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หล่อนก็ยิ่งชอบ หากมีเขาอยู่ด้วยก็น่าจะดีและมีความสุข หญิงสาวรู้สึกดีใจนัก ที่พ่อกับแม่ปล่อยให้หล่อนตัดสินใจเอง
ตั้งแต่มีเรื่องกันวันนั้น ท่านก็ไม่เข้ามายุ่มย่าม ไม่ถามไม่ไถ่ เหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่โอภาปราศรัยเหมือนก่อน บางครั้งหล่อนก็แอบร้องไห้น้อยอกน้อยใจ แต่ทั้งหมดเพราะหล่อนเลือกแล้ว หล่อนขอท่านลิขิตชีวิตตัวเอง ซึ่งทั้งสองก็ไม่ห้าม
เมื่อเป็นแบบนี้ หล่อนก็เลยขออนุญาตออกมาอยู่ข้างนอก ซึ่งท่านก็ไม่ขัด ยุกันดาจึงมีอิสระเต็มที่กับเรื่องนี้
หญิงสาวนอนตากแดดตากลมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เมื่อหิวก็ลุกขึ้นหาอะไรในตู้เย็นมาทาน มีอาหารมากมายหลายอย่างในนั้น เพราะเขาสั่งคนดูแลให้ซื้อไว้ให้พร้อมสรรพ
หล่อนยืนทอดสายตามองเหม่อออกไปในทะเล ปล่อยดวงใจล่องลอยกับฟากฟ้าสีครามเบื้องหน้า ยามลมพัดโชยบางเบา ได้หอบเอาไอเค็มของน้ำและแดด มาให้หล่อนได้ซึมซาบ กับความเป็นธรรมชาติจนถึงแก่น.เหมือนหล่อนได้ซึมซับสัมผัสผิวกายของเขาไปด้วย คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ ผิวกายร้อนรุ่ม อกใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความคิดถึง..
แต่ยามนี้อยู่คนเดียว มันชวนเหงาพิลึก
กริ๊ง กริ๊งงง
เสียงแผดดังของโทรศัพท์ ทำเอาหล่อนสะดุ้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ามาแนบหู กรอกเสียงลงไป
“ฮัลโหล.สวัสดีค่ะ อ้าว ! หรือคะ ไปเมื่อไหร่คะ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ ค่ะ ยุจะรอคุณมารับกลับบ้านเรา แล้วเจอกัน เดินทางปลอดภัยนะคะดิษฐ์ ยุรักคุณ”
****************
ทุกเวลานาทีที่อยู่ที่นี่ ยุกันดาเดินไปตามหาดทรายสีขาว สายลมโชยแผ่วเบา ทำให้เย็นสบาย อากาศยามบ่ายแก่ๆ อย่างนี้ยิ่งทำให้ชายหาดริมทะเลดูดียิ่งขึ้น หล่อนยกเท้าเพื่อให้พ้นน้ำทะเลที่สาดซัดขึ้นมาจนสูง เดินบ้างวิ่งบ้าง พอเหนื่อยก็หยุด
ยุกันดาทรุดตัวลงนั่งบนผืนทราย ทอดตามองแสงอาทิตย์ ที่ไม่แผดจนจ้ามากนัก อย่างเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนักๆ ทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเด็กใบ้ลูกของแม่บ้าน เดินมายื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมชี้มือชี้ไม้เป็นการสื่อสาร หล่อนรับมาถือและไม่ลืมกล่าวขอบใจเบาๆ
“ฮัลโหล !” เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนลอยเข้ามาตามสาย “ยุครับ ผมเอง”
“คุณดิษฐ์” หล่อนเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “อยู่ที่ไหนคะตอนนี้ ” ถามเสียงใส
“ตอนนี้ผมอยู่สนามบินแล้ว อีกไม่เกินสามชั่วโมงนี้ เราคงได้เจอกัน ให้นายยิ่งมารับแล้วจ้ะ ผมคิดถึงคุณมาก รู้ไหม” บอกเพื่อให้หล่อนคลายกังวลและกระซิบในตอนท้ายน้ำเสียงกระเส่ามาตามสาย ทำให้คนฟังใบหน้าร้อนวูบวาบ ค้อนลมค้อนแล้งแถวนั้นไปเรื่อย
“ฮื่อออ รู้แล้ว จะรอนะคะ ”บอกกลับไปด้วยน้ำเสียงสดชื่นไม่ต่างกัน ดวงตาสุกใสเปล่งเป็นประกาย
ติ๊งง…
เสียงปลายทางวางสายไปแล้ว หล่อนจึงส่งโทรศัพท์คืนแม่หนูใบ้ไป แล้วคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าไปบอกแม่เนียมในครัว ให้ออกไปช่วยถือของที่ตลาด แล้วบอกให้กลับบ้านได้ หล่อนจะเตรียมอาหารเอง เพื่อรอเขากลับมาทานพร้อมกัน
ตั้งแต่แต่งงานกันมา หล่อนก็ทานคนเดียวมาตลอด ในเมื่อวันนี้เขากลับแล้ว ถือโอกาสเลี้ยงฉลองกันสักหน่อย
๑๗.๓๐ น.แล้ว ยุกันดาเตรียมอาหารไว้พร้อม ไวน์ที่เขาชอบก็จัดแจงแช่รอในถัง ในชีวิตนี้ ทั้งเขาและหล่อนต่างไม่ขออะไรมาก แค่ได้อยู่กันสองคนก็เพียงพอแล้ว
******************
โดย..เงาบุหงา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น