Translate

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*โป๊ยเซียนช่องาม*~


โป๊ยเซียนช่องาม

*โอ้! โป๊ยเซียน เพียรออกดอก บอกความหมาย
ไม่เดียวดาย มีหลายดอก ออกเป็นช่อ
แม้มีบ้าง เหี่ยวห่างเฉา เพราะเฝ้ารอ
กิ่งเสริมต่อ ก่อเกิดใหม่ ให้ลมไกว

*ดุจมนต์ตรา มหาเวทย์ ประเภทหนึ่ง
สร้างโลกฝัน หวานซึ้ง พึงหลงไหล
สงวนดอก ออกหนาม ย้ำเตือนใจ
หากคลังไคล้ ใฝ่หา น้ำตาเล็ด!

*ก่อนถึงช่อ ดอกสวย ซ่อนด้วยหนาม 
ดอกยิ่งงาม หนามยิ่งคม ชม..อย่าเด็ด!
แม้ตาดี ยังมีพลั้ง เลือดหลั่ง..เช็ด!
หากตาบอด จอดสะเด็ด ! เล็ดน้ำตา

*มองโป๊ยเซียน แรกแย้ม แซมสุดสวย
กิ่งระรวย รายชื่น รื่นบุปผา
สีสันสวย ปราศราคี มีราคา
มากมายหา พาเพลิน เจริญใจ

*วนวียนดู ความงาม ยามเกลื่อนกลาด
สีฉูดฉาด สะดุดตา น่าพิสมัย
ชูกิ่งก้าน ขยันออก ทั้งดอกใบ
เพริศพิไล นักหนา คราได้ชม

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๘*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

 “พรุ่งนี้มีทัศนศึกษาเราจะไปกันที่สวนสัตว์เขาเขียวล่ะวี ต้องสนุกแน่ๆเลย”ปภาวดีเดินเข้ามาหาบอกด้วยรอยยิ้ม เพราะวันนี้ไม่มีกิจกรรม รตาแม้จะเงียบไปคุยน้อยลง แต่ก็ยังมาเข้ากลุ่มบางครั้ง

“ดีจังเลยนะวดีคิดถึงศิลาจัง”วีรนุชตื่นเต้น และคิดถึงเพื่อนไปด้วยพร้อมกัน นานๆจะไปไหนมาไหนด้วยกันที่โรงเรียนแบบนี้สักที่

“ฮื่อ..ใช่วันนี้เดี๋ยวเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พรุ่งนี้มาแต่เช้านะวี รตาบายจ้ะ”ปภาวดีทักทายก่อนจะกลับไปนั่งโต๊ะเรียนอีกวิชาหนึ่ง

คืนนี้หล่อนจะสวดมนต์แผ่เมตตาบทใหญ่จะได้นอนหลับสบายตลอดจนถึงเช้าเหมือนทุกคืน


๐๗.๐๐ น.
“เอ๊า...ขึ้นรถ เจ็ดโมงครึ่งตรงรถจะออกจากที่นี่ นะใครตกรถอย่ามาโอดครวญทีหลังล่ะ”
คุณครูประกาศให้ทุกคนขึ้นรถเมื่อรถเปิดประตู
“ว๊ายอาจารย์ มาจับหนูทำไม? ”เสียงของเพื่อนโวยอยู่ด้านหลัง วีรนุชหันไปมองนิดหนึ่ง
“ก็เธอโม้มากเกินไปน่ะสิ”ครูไพศาลบอก
วีรนุชเดินตามเพื่อนๆ ขึ้นรถ แต่ยังไม่ทันไปถึงบันไดเกิดอาการอยากจะคายของเก่าออกมา ต้องรีบยกมือปิดปาก
“วีรนุช เธอเมาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นรถเลยหรือนี?”เสียงถามดังมาจากครูจินตนาที่ชะโงกหน้าออกทางหน้าต่างด้านหน้าหล่อนรีบเดินไปทางห้องน้ำ ปภาวดีกับรตาเดินตามมาติด
“วี เธอเป็นอะไรไปหรือ?”รตามองด้วยใบหน้าสงสัยปภาวดีเดินเข้าไปลูปหลังตอนที่โก่งคอจะอ๊วก
“หน้าซีดเชียววี”รตาบอกเพื่อน
วีรนุชโก่งคออ๊วกเอาเศษอาหารออกไปได้สักครู่จึงบ้วนปากแล้วเงยหน้ามองเพื่อนรักทั้งสอง
“พวกเธอไปกันเถอะเราจะไปนอนที่ห้องพยาบาล สักครู่ หากดีขึ้นค่อยโทรหาคุณพ่อมารับตอนเย็นหรือไม่แน่พวกเธออาจจะกลับมาก่อนคุณพ่อฉันมาก็ได้นะ”บอกให้เพื่อนคลายกังวล
“เธออยู่ได้แน่นะวีมีอะไรก็ไปที่ห้องพักครูนะวี”ปภาวดีสั่งก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถเพราะเวลาไม่มีแล้ว
ไม่นานรถทัศนศึกษาก็ทยอยกันวิ่งออกไปจากโรงเรียนทีละคันจนหมดวีรนุชยืนมองทางหน้าต่างอย่างเสียดาย
  ไม่นาน
อา..!
ดูสิ..พอเขาไปกันหมดแล้วอาการก็ไม่มีอะไรหล่อนอุตส่าห์ ตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้ทำความสนิทกับเพื่อนทุกคนเสียหน่อย
เดินกลับไปนั่งที่ขอบเตียงรู้สึกเหงาๆ เซ็งๆ จนไม่รู้จะทำอะไร กระเถิบขึ้นไปเอนหลังพิงขอบเตียงด้านบนปล่อยใจลอยล่องไปเรื่อย
‘คุณนิลนาถ ปานน้อยก็คงจะเหมือนเราสินะ ที่ต้องอดไปทัศนศึกษา แถมต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีก’
ที่นี่..!
หญิงสาววางมือบนที่นอนก่อนจะสะดุ้งถอยผละเกือบตกเตียง ใบหน้าซีดเผือดตัวสั่นระริก เหงื่อไหลหยดลงมา
‘หรือว่า..! ที่เราต้องอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณนิลนาถ? เพราะคุณนิลนาถต้องการให้เราเป็นเหมือนเธอเหมือนที่อยากให้คุณริญลดาอยู่ด้วย’
วีรนุชพึมพำเสียงสั่นความหวาดหวั่นพุ่งขึ้นจนนั่งและอยู่ไม่ได้
หญิงสาวผวาวิ่งออกจากห้องตรงไปทางห้องพักครูอย่างเร็ว


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*คิดถึง*~



ขอบคุณภาพสวยๆ จากอินเตอร์เน๊ต

/นานเหลือเกินที่เราไม่เจอกัน
แต่คิดถึงทุกวันให้หวั่นไหว
นึกถึงไออุ่นรักร้อยปักใจ
ความคุ้นเคยมอบให้ใช่จะจาง

/เหงา..ฉันคง เหงามาก หากขาดเธอ
จึงมานั่งละเมอเพ้อหาบ้าง
ก็มันรักเหลือหลายเกินคลายจาง
ร่ายกลอนอย่างเศร้าเศร้ารุมเร้าทรวง

/ออกซิเจนในหัวใจคงไม่เหลือ
เพื่อจุนเจือยามไกลในบางช่วง
คิดถึงนะ คิดถึงกันจึงหมั่นทวง
ยังห่วงหวงมิวายสายสัมพันธ์

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*จบกันที*~



/ฉันจะเก็บรักไว้ใต้แผ่นฟ้า
เหนือขอบใจของเวลาดุจว่าแก้ว
จะกอบเก็บรักใสให้วาวแวว
ทั้งหวานแหว๋วมีเสมอให้เธอชม

/ต่อแต่นี้ลืมสิ้นที่หมิ่นหม่น
พร้อมอดทนก้าวข้ามความขื่นขม
ไม่ต้องทนกลืนกล้ำช้ำระทม
ไล่ตรอมตรมให้ห่างอย่างสุขใจ

/ขอขอบคุณเพื่อนพ้องพี่น้องรัก
เรื่องอกหักมักมาพาหวั่นไหว
จนสมองล้าอ่อนกร่อนลงไป
เหตุไฉนใยต้องทุกข์สุขไม่เจอ

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ณ ลานฝัน



/ณ ยามนี้ที่ยืนเหม่อเผลอมองฟ้า ณ คืนนี้มีดารามาให้อ้อน ณ ค่ำที่แสนเหงาขอเว้าวอน ณ ดื่นดึกนึกย้อนความผ่อนคลาย /ณ ดวงใจใฝ่ปองจ้องเสนอ ณ ดื่นดึกนึกก็เพ้อ-เจ้อไม่หาย ณ ค่ำคืนตื่นรอขอทักทาย ณ ยามนี้ที่หมายสายใยทอ /ณ ยามนี้มีเพลงบรรเลงกล่อม ณ คืนค่ำคำพร้อมน้อมใจพ้อ ณ ราตรีที่ไร้คนเคลียคลอ ณ ค่ำนี้ที่อยากก่อต่อรวงรัง /ณ ตรงกลางทางเสริมเราเติมใส่ ณ มีรักปักไว้ก่อนไร้หวัง ณ คืนนี้ที่ยังไหวในภวังค์ ณ ตอนนี้มีพลังนั่งร่ายกลอน

แพรอักษร

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คติธรรม


อย่าหยุดที่ใครสักคน เพียงเพื่อจะพัก...จงหยุดที่จะรักเพราะ รักเขา..หมดหัวใจ...

๐๙/๑๒/๕๖

คติธรรม



ของดีนั้นหายาก และลำบาก เพราะมัวหากันแต่ภายนอก...
11/12/56

คติธรรม



ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก...
10/12/56

คติธรรม



ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด
10/12/56

คติธรรม


/ ของดีอยู่ในตัว อย่ามัวแต่หาภายนอกเลย...
10/12/56

คติธรรม


ใช้ชีวิตแบบไร้สาระ แล้วจะละความชั่วได้อย่างไร...
10/12/56

คติธรรม


…”ชีวิต”…สอนให้รู้จักความไม่แน่นอนของชีวิตสอนให้รู้ว่ามีความสุขก็ต้องมีความทุกข์สอนให้มีสติกับสิ่งที่ทำอยู่กับปัจจุบันสอนให้รู้จักรอเพราะไม่มีอะไรได้ดั่งใจทุกอย่าง

๒๕/๑๑/๕๖

คติธรรม


“เกิดมาเป็นคน ทุกคนมีชีวิตที่เท่าเทียมกัน อย่าคิดว่าตัวเองต่ำต้อยหรือสูงกว่าใคร จงทำตัวให้มีคุณค่าไว้ อย่าใส่ใจจากการมองของคนอื่น 
ถ้าเราไม่ต่อสู้ ไม่ดิ้นรน ชีวิตเราก็จะไม่คุ้มค่า ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม? ”

๒๒/๑๑/๕๖

คติธรรม


รวย แต่ยังเป็นทุกข์มาก
มีเกียรติ แต่ยังเป็นทุกข์มาก
มีชื่อเสียง แต่ยังเป็นทุกข์มาก
นั่นเพราะว่า...
ความทุกข์มากหรือทุกข์น้อย
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่อยู่ที่...
ความยึดมั่นถือมั่น มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น
   
๒๑/๑๑/๕๖

คติธรรม


ดอกไม้งามได้เพราะ รูปลักษณ์ และสีสัน
คนจะงามได้เพราะ พระธรรม...

๑๒/๑๑/๕๖






โดดเดี่ยว เดียวดาย (กลอนเปล่า)




จะยังคงเป็นแบบนี้อีกนานไหม?
กว่าที่เราจะรู้ใจกันและกัน 
มันคงจะไม่ง่ายนักหรอกเรื่องฝัน
เมื่อเวลาและวันพาเราเปลี่ยนจนจากลา

ฉันคงจะไม่โทษถ้าเธอจะเดินจาก
เพราะรู้และเข้าใจเธออยู่มาก..ยากมองหน้า
จึงรำพึงทุกวันเสมอตลอดมา 
ฉันก็ฟังจนล้าเหนื่อยน่าดู

หมดเวลาเธอคงลาและต้องไป 
แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นเหลือให้เอาไว้อยู่ 
คงจะเป็นความคิดถึงจากใจ เธอ(คง)ไม่รู้ 
บอกไม่ได้อยู่เป็นครู่ ดูเขาเดินจากไกล

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พูด



/พูดจาให้คนอื่นฟังรื่นหู
เป็นเหตุให้หน้าตาเรานั้นยิ่งสดชื่น

13/12/56

อุปสรรค


ความฝัน เป็นสิ่งดีเสมอ เป็นทั้งแรงบันดาลใจ แรงกระตุ้น คอยผลักดันเราให้ก้าวเดินไปข้างหน้าฝ่าทุกอย่างด้วยความอดทน...
เราเป็นผู้เบิกทางของเราเอง
๑๓/๑๒/๕๖

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๗*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

วันนั้นทั้งวันทุกคนเรียนไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีที่เพิ่งเปิดเทอมวันแรก ชั่วโมงเรียนจึงไม่หนัก

และตอนเย็นเราทั้งสามจะไปเยี่ยมศิลาที่โรงพยาบาลปภาวดีมากระซิบบอกเอาไว้หลังมื้อเที่ยง

พอเริ่มเข้าชั่วโมงที่หก วีรนุชก็ใจคอไม่ดีเหมือนเคย



วีรนุชนั่งครุ่นคิดด้วยหัวใจเหม่อลอยไปจนหมดชั่วโมงเรียน

“เอาล่ะนักเรียนวันนี้แค่นี้นะ กลับบ้านไปทบทวนด้วยล่ะ”อาจารย์จำรูญย้ำ

“นักเรียนตรงขอบคุณค่ะคุณครู”ปภาวดีกล่าวนำเพื่อนขอบคุณอาจารย์ พร้อมๆ กัน

“วี.รตาพี่วิมมารอแล้วแน่ะข้างล่างเห็นไหม?”ปภาวดีเดินเข้ามาบอกพร้อมชี้มือให้เพื่อนดูรถและคนขับที่นั่งอยู่ด้านใน

“ไหนๆอ้อ..! พี่เขามารอนานแล้วเหรอวดี? ”รตาถามเพื่อนเพราะเกรงใจที่เขามาคอยรับส่งพวกเธอ

“ไม่มั้งพี่เขารู้นะว่าโรงเรียนเลิกกี่โมง พวกเราลงไปกันเถอะ”ปภาวดีชวนเพื่อนทั้งสองแล้วพากันเดินนำไปที่รถ

โรงพยาบาล

“เจ็บใจจริงๆอุตส่าห์ลำบากถ่ายมาแทบตายคิดว่าจะเก็บไว้เป็นหลักฐานและกำจัดวิญญาณยายนิลนาถได้ สุดท้าย ไฟไหม้เกลี้ยงแถมเจ็บตัวอีก”ศิลาพูดออกมาหาไม่ได้เกรงกลัววิญญาณร้ายแต่อย่างใด

“ฉันไม่อยากไปโรงเรียนเลย”วีรนุชกล่าวด้วยสีหน้าหมองๆ ใบหน้ายังคงซูบซีดเห็นได้ชัดเพราะสังเกตที่เพื่อนโดนมันเหมือนจะเป็นการเตือนกันแล้ว

ต้องเป็นฝีมือวิญญาณของคุณนิลนาถแน่ๆในตอนเย็นวันนั้นทุกคนกลับบ้านด้วยอาการครุ่นคิดและหวาดผวา

วีรนุชอาบน้ำจัดตารางสอนเสร็จลงมาดูทีวีเพื่อรอบิดากลับมาทานอาหารค่ำด้วยกัน ก่อนเข้าห้องนอน หล่อนเข้าห้องพระสวดมนต์ นั่งสมาธิแผ่เมตตากรวดน้ำให้กับวิญญาณของนิลนาถ อย่างน้อยๆ น่าจะช่วยได้บ้าง

-------------
ห้องA ชั้นสอง

“ทิ้งไปทิ้งไปเลย ทิ้งไป”เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาทชัดเจนจนวีรนุชต้องยกมือขึ้นอุดหู ใบหน้ายุ่ง เหงื่อซึมตามหน้าผากมน

“ไม่ไม่นะ..ไม่มีทาง ! ”หล่อนส่ายศีรษะแรงๆไปมา

จนครูนิยมมอง“เป็นอะไรวีรนุช ไม่สบายหรือเปล่า?”ร้องถามจากหน้าห้องเรียน

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น“ปละ เปล่าค่ะอาจารย์”ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้ในใจจะยังสั่นระรัว เหงื่อเริ่มหยด
รตาหันไปมองเพื่อนเอามือแตะขาของเพื่อนตบลงเบาๆ

“เธอไม่เป็นไรนะวี”ถามเพื่อนเบาๆด้วยความเป็นห่วง ใจตัวเองก็สั่นไม่แพ้เพื่อนนัก

จะมีใครเชื่อว่าวิญญาณของคนที่ตายไปเมื่อหกปีที่แล้วยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่

“เอาล่ะนักเรียนเดี๋ยวไปที่ห้องดนตรีต่อเลยนะ”เสียงของอาจารย์จินตนาที่เดินสวนเข้ามาบอกเมื่อหมดชั่วโมงของคุณครูนิยม

วีรนุชกำลังจะลุกขึ้นแต่...

“รตา..”เรียกเพื่อนที่ไม่ขยับด้วยความสงสัย

“วี..!ฉันไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้แล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ”ก้มหน้าบอกเพื่อนด้วยใบหน้าซีดเผือด“ฉันเริ่มกลัววิญญาณของคุณนิลนาถแล้วสิ”รตาสารภาพออกมาตรงๆหล่อนเข้าใจเพื่อน จึงพยักหน้ารับรู้เงียบๆ

“ จ้ะ เราไปห้องดนตรีกันเถอะ”เอ่ยปากชวนเพื่อนเสียงเบา

ทุกคนอยู่กันครบเมื่อหล่อนและรตาเข้าไปคุณครูก็มองและชี้มือไปที่เก้าอี้สองตัวที่เหลือ

“เป็นไงบ้างวีรนุชย้ายมาที่นี่ตั้งนานแล้วพอจะมีเพื่อนหรือยัง?”คุณครูจินตนาถามเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว
“อาจารย์...”หญิงสาวยิ้มดวงตาเปล่งประกาย

“ต้องพยายามเข้ากับเพื่อนให้มากกว่านี้นะรู้ไหม?”ครูจินตนาบอกด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

แปลกดีเหมือนกันทั้งที่โรงเรียนเก่าก็ออกจะมีเพื่อนมากมายรตาเงียบขรึมลงไป ไม่ช่างคุยเหมือนเมื่อก่อนปภาวดีก็ทำกิจกรรมมากขึ้น

ตอนนี้เหมือนอยู่คนเดียวเลย

ทุกคนหัวเราะสนุกสนานท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนแต่หล่อนไม่มีใครสักคน

เมื่อพักเที่ยงวีรนุชเดินไปหาเพื่อนๆที่นั่งเกาะกลุ่มกัน  “นี่  กินข้าวด้วยกันนะทุกคน”

แต่เจ้ากรรมเพราะความรีบแท้ๆจึงทำให้ขาไปขัดกับโต๊ะเข้า อย่างไม่ได้ระวังจานอาหารพลิกคว่ำลงบนพื้นแตก
กระจายเศษอาหารกระเซ็นใส่เสื้อผ้าของเพื่อนจนเลอะเทอะ

“ว๊าย..!”

“ขอโทษจ้ะขามันขัดน่ะ”ใบหน้าวีรนุชซีดเผือดละล่ำละลักกล่าวขอโทษเพื่อนก่อนจะเข้าไปช่วยปัด แต่เพื่อนกลับปัดมือหล่อนออกอย่างแรง

“จะบ้าเหรอ..ดูซิเลอะหมดเลยไม่ต้องมายุ่ง” สีหน้าที่พูดและมองมายังหล่อนบอกอาการหงุดหงิดอย่างแจ่มชัดก่อนที่เธอจะเดินเข้ากลุ่มเพื่อนๆที่ย้ายโต๊ะไปอีกทาง

วีรนุชก้มหน้าเก็บเศษแก้วชิ้นใหญ่ใส่ถุงแล้วเดินไปหยิบที่โกยขยะกับไม้กวาดมากวาดเศษอาหารที่หกเรี่ยราดไปทิ้งด้วงดวงตาละห้อย

เวลาผ่านไปเชื่องช้าจนน่าเบื่อสำหรับวีรนุชกว่าจะหมดชั่วโมงเรียนในแต่ละวันช่างทรมานนัก

มีข่าวว่าศิลาได้กลับมาอยู่บ้านแล้วแต่ยังเดินเหินไม่คล่องจึงมาโรงเรียนไม่ได้

“พรุ่งนี้มีทัศนศึกษาเราจะไปกันที่สวนสัตว์เขาเขียวล่ะวี ต้องสนุกแน่ๆ เลย”ปภาวดีเดินเข้ามาหาบอกด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้ไม่มีกิจกรรม รตาแม้จะเงียบไปคุยน้อยลง แต่ก็ยังมาเข้ากลุ่มบางครั้ง

“ดีจังเลยนะวดีคิดถึงศิลาจัง”วีรนุชตื่นเต้น และคิดถึงเพื่อนไปด้วยพร้อมกัน เสียดายนักที่ไม่มีศิลาไปด้วยนานๆจะไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้สักที่

“ฮื่อ..ใช่เสียดายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ วันนี้เดี๋ยวเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านพรุ่งนี้มาแต่เช้านะวี รตาบายจ้ะ”ปภาวดีทักทายก่อนจะกลับไปนั่งโต๊ะเรียนอีกวิชาหนึ่ง

คืนนี้หล่อนจะสวดมนต์แผ่เมตตาบทใหญ่จะได้นอนหลับสบายตลอดจนถึงเช้าเหมือนทุกคืน

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*****ดวงตาอาฆาต ๑๖*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

วีรนุชเหงื่อชุ่มมือที่กำใจสั่นหวิว  กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงยหน้ามองไปทางชายหนุ่มที่ยืนไม่ห่างจากศิลาสายตาเหมือนจะถาม แต่ก็ไร้สรรพเสียงใดลอดออกไป

ใครที่ไหนเขาจะเชื่อหากเล่าไปว่าในห้องปรับอากาศแบบนี้ลมจะเข้ามาได้ทางไหน? 

วิมมีใบหน้าเคร่งขรึมสายตามองไปที่สี่สาวทีละคนเหมือนจะถาม. 

“ลมมาจากไหน?


ตลอดช่วงปิดเทอมพวกหล่อนยุ่งอยู่แต่กับเรื่องวิญญาณและหาข้อมูลของนิลนาถจนเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวโรงเรียนจะเปิด

คืนนั้น  ท่ามกลางความมืด แสงอ่อนๆ ของดวงจันทร์ทำให้เกิดเงาสะท้อนจากต้นไม้ ที่อยู่บริเวณนั้นจนทั่วถึง นานๆครั้งจะได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรขึ้นมา สักพักมันก็เงียบไปความวิเวกวังเวงก็เข้ามาแทนที่

ครืดดด...

เสียงลากเก้าอี้ !

ใคร?

มือไม้สั่นขึ้นมาทันทีแต่ความกลัวและอยากรู้ อยากเห็นจึงทำให้มือเอื้อมกดสวิสไฟอย่างเร็วจนนาฬิกาปลุกตกลงมานอนเค้เก้กับพื้นเสียงดั่งสนั่น

พรึ่บบบ..

กริ๊งงงงง..

สายตามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไร หญิงสาวลุกขึ้นไปหยิบนาฬิกาขึ้นมาพาเดินไปนั่งบนเตียง

“วี..ทำอะไรอยู่น่ะลูก?ดึกแล้วนะ เขาห้ามลากเก้าอี้ในตอนกลางคืน”เสียงมารดาเอ่ยถามมาจากห้องข้างๆ
เท่านั้น วีรนุชมือไม้อ่อน สั่นระริก รีบแกะถ่านออกจากเครื่องเพื่อระงับเสียงหล่อนแกะผิดแกะถูก เหวี่ยงถ่านลงบนที่นอน ดึงผ้าห่มมาคลุมร่าง หัวใจเต้นโครมคราม มือค่อยๆ แง้มผ้ามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ประสาทตึงเครียด
จนเช้า

วันเปิดเทอม

วีรนุชอาบน้ำแต่เช้า และลงมารอ รถด้านล่าง เปิดเทอมวันนี้หล่อนตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน อยากเจอเพื่อนๆ อยากเล่าอะไรให้เพื่อนฟังเยอะแยะ จนรถมาจอดหน้าบ้าน

“คุณแม่ หนูไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”ยกมือไหว้มารดาอย่างเร็วแล้วเดินไปขึ้นรถ
เมื่อมาถึง เพื่อนๆ มากันแต่เช้า และจับกลุ่มคุยกันหล่อนมองหารตาและปภาวดีในห้องไม่เห็น  ควานมือหยิบกระเป๋าเงินใบน้อยขึ้นมาเตรียมจะเดินออกจากโต๊ะ

ตึกกก

“วี แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว..บ้านศิลา บ้านของศิลา”รตาเอามือแตะหน้าอกเอาไว้กลืนน้ำลายที่มาจุกคอหอยให้ลงไปแต่ไร้ผล ใบหน้าซีดเผือด จนหล่อนตกใจ

“อะไร มีอะไรเกิดขึ้นเหรอวดี? ”วีรนุชหันไปถามหัวหน้าห้องมือหล่อนก็ลูบหลังลูบไหล่เพื่อนเบาๆ

“ฮื่อ..! เมื่อคืนน่ะเกิดไฟไหม้ขึ้นที่บ้านของศิลาโดยไร้สาเหตุ แต่โชคดีที่ดับทันตัวของศิลานั้นวิ่งลงบันไดด้วยความตกใจ เกิดพลาดตกลงมาขาหักตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล พี่วิมเพื่อนของพี่มณีมาบอกด้วยว่าฟิล์มที่เราถ่ายนั้นไหม้หมดเลยล่ะ”วดีเล่ายาว

วีรนุชอ้าปากค้างก่อนจะเอ่ยถามออกมา  “ว่าไงนะ!ฟะ ไฟไหม้เหรอ? ”

วันนั้นทั้งวัน ทุกคนเรียนไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีที่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกชั่วโมงเรียนจึงไม่หนัก

ปภาวดีเข้ามากระซิบบอกเอาไว้หลังมื้อเที่ยงว่า  ตอนเย็นเราทั้งสามจะไปเยี่ยมศิลาที่โรงพยาบาล

พอเริ่มเข้าชั่วโมงที่หก วีรนุชก็ใจคอไม่ดีเหมือนเคย

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*****ดวงตาอาฆาต ๑๕*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

ทุกคนมีใบหน้าถอดสี เหงื่อเม็ดเป้งๆโผล่ตามหน้าผากมน ใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ

“ตอนนั้น ฉันมั่นใจไม่มีใครเดินล่วงหน้ามาแน่ และเป็นไปไม่ได้ว่าลุงจำเริญจะล่วงหน้าพวกเรามาที่ห้อง ลุงแกคงไม่หลอกพวกเราแน่นอน แล้วตอนไปถึง เราก็เสียบกุญแจก่อน จะหมุนให้ลูกบิดคลายล๊อกนี่นา?”วดีบอกทุกคนเพราะเธอเป็นคนถือกุญแจมากับมือ

“แล้วมือที่โผล่ออกมาเป็นมือของใครล่ะ?”รตาถามเพื่อนๆ

คราวนี้สายตาทุกคู่เงยขึ้นประสานกันโดยไม่ได้นัด..?



“ตอนที่เดินไปถึงหน้าห้อง แล้วไขกุญแจเปิดเราไม่มีใครเปิดกุญแจใช่ไหม? สังเกตกันหรือเปล่า ว่าภาพที่ถ่ายมาชัดมากๆ ”วดีตั้งข้อสังเกต

“และนี่เป็นภาพสุดท้าย”ศิลาวางภาพถ่ายไว้บนโต๊ะเมื่อวิมเคลียร์รูปออกหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงรูปจัมโบ้ใบเดียวที่โดดเด่น   “ดูในรูปสิ โต๊ะที่ ๔ มีใครนั่งอยู่  ! แถมก้มหน้านิ่ง ผมยาวและมีละอองฝนเกาะที่กระจกหน้าต่างด้วยเราไม่ได้ยินเสียงฝนกันนี่นาวันนั้น ใช่ไหม? ”

วีรนุชและเพื่อนๆ มองภาพถ่ายบนโต๊ะด้วยอาการหนาวยะเยือกเหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่หน้าผากขนลุกซู่ไปทั่วร่าง แขนขาเหมือนจะขยับไม่ได้ชั่วคราว

อา..!

ภาพผู้หญิงในชุดนักเรียนคอซองที่นั่งหันหลังให้ตรงโต๊ะ ๔ ริมหน้าต่าง ผมที่ยาวปกปิดใบหน้าละอองน้ำฝนที่เกาะอยู่ชวนให้ความคิดมันแล่นไปไกลลิบ

“เห็นไหม?นี่คือหลักฐานยืนยันว่าคุณนิลนาถยังสิงสถิตอยู่ที่โรงเรียนและที่โต๊ะตัวที่หล่อนซบลงขาดใจตาย”ศิลากล่าวออกมา

“ดูจากฟิล์มก็รู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำขึ้นเอง”ชายหนุ่มพูดขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นอาการของสี่สาว

“หากเราเอาภาพนี้ไปให้อาจารย์ทุกท่านดูและบอกให้หมอผีมาทำการขับไล่วิญญาณออกไป ทุกคนคิดว่าอาจารย์จะเห็นด้วยไหม? ”ศิลาถามความเห็นเพื่อนๆ

“ไม่รู้นะ กลัวแต่จะโดนตะเพิดนะสิ”ปภาวดีกล่าวออกมาบ้าง หลังจากที่มองคนนั้นทีคนนี้ที

“พอเปิดเทอม ฉันนี่ล่ะจะไปรับหมอผีมาขับไล่วิญญาณของคุณนิลนาถด้วยตัวเอง”น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเด็ดเดี่ยวมือกำเข้าหากันแล้วชู้ขึ้นด้วยความมั่นใจ

และนาทีที่คำพูดของศิลาจบลงสายลมปลิววูบเข้ามาปะทะใบหน้าของทุกคนจนแก้วพาสติ๊กที่วางอยู่อีกโต๊ะล้มก่อนจะตกลงมาน้ำกระจายเต็มพื้น

พลั่กกก...!

ว๊ายยย...ตาเถร..

ทุกคนมีใบหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด รตาอุทานผวาเข้ากอดปภาวดีเอาไว้แน่น ปากสั่นระริก
วีรนุชเหงื่อชุ่มมือที่กำ ใจสั่นหวิว  กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงยหน้ามองไปทางชายหนุ่มที่ยืนไม่ห่างจากศิลาสายตาเหมือนจะถาม แต่ก็ไร้สรรพเสียงใดลอดออกไป

ใครที่ไหนเขาจะเชื่อหากเอาไปเล่าให้ฟัง ว่าในห้องปรับอากาศแบบนี้ลมจะเข้ามาได้ทางไหน?

วิมมีใบหน้าเคร่งขรึม สายตามองไปที่สี่สาวทีละคนเหมือนจะถาม.

“ลมมาจากไหน?

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*****ดวงตาอาฆาต ๑๔*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

วีรนุชมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย  เพราะผีถ้วยแก้วเอย วิญญาณพเนจรเอยภาพถ่ายติดวิญญาณอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นเคยนึกว่ามีแต่ในทีวีและหนังสือเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัวเองเลย

ศิลายกมือพนมขึ้นเหนือเทียบอก ปากขมุบขมิบ

สาธุหากวิญญาณของคุณนิลนาถยังอยู่ที่ห้องนี้ ได้โปรดปรากฏร่างด้วยเถอะ...!

ในวันที่ใกล้จะเปิดเทอม

กริ๊งงง...

“ฮัลโหลวี..! เราล้างฟิล์มเสร็จแล้วนะ อยากดูหรือเปล่า?”เสียงศิลาดังมาตามสายด้วยความตื่นเต้น ชวนให้อยากดูรูปขึ้นมาบ้างแม้ในใจจะเกิดความกลัวแต่ความอยากเห็นมีมากกว่า

“เดี๋ยวเราออกไปนะศิลาเธออยู่ที่ไหนเหรอตอนนี้”ตอบกลับอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“เราอยู่ที่ร้านแมคโดนัล ไม่ไกลจากบ้านเธอหรอกจ้ะออกมาสิ วดีกับรตาก็มานะ เราเลยโทรบอกวีนี่ล่ะ”เสียงศิลาชวนและตอบคำหล่อนชัดเจน

“โอเคจ้ะ เดี๋ยวเจอกันนะ  บาย”วีรนุชวางสายและเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะเดินลงไปขออนุญาติจากมารดา

วดีกับรตามากันแล้ว ไม่นานวีรนุชก็โผล่ที่ประตูทางเข้า

“วีมาแล้ว”บอกเพื่อนทุกคน  “วี.! ทางนี้จ้ะ”ศิลาเรียกเบาๆ จากชั้นสอง

เท่านั้นวีรนุชก็เดินขึ้นไปข้างบนเห็นรตาและวดีนั่งดูรูปอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดหันมายิ้มรับเพื่อน

“มีวิญญาณด้วยนะวี มาดูเร็ว”รตาน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อหล่อนเดินไปใกล้

ศิลาลุกขึ้นยิ้มทักทายตอบมาพร้อมชายหนุ่มที่ยืนขึ้นเคียงกัน“กำลังคอยอยู่เลย”

“หวัดดีจ้ะศิลา รตาวดีและก็..”ร้องรับคำทักทายจากเพื่อนเสียงใส

“มาๆนี่เลยวี นี่พี่วิมเป็นเพื่อนพี่มณีพี่สาวเราเป็นคนล้างฟิล์มพวกนี้จ้ะ”แนะนำเพื่อนด้วยรอยยิ้มเบิกบานก่อนหันไปทางชายหนุ่ม“พี่วิมนี่วีรนุชเพื่อนศิลานะคะ”

“พี่เทออกมาดีกว่า จะได้หยิบถนัดไง”วิมเทรูปในเป้ออกมาบนโต๊ะให้สาวๆเลือกหยิบขึ้นมาดู

“ค่ะพี่วิม อ้อ..! วีทานอะไรมารึยังจ้ะ?”พยักหน้าให้ชายหนุ่มก่อนจะหันไปถามเพื่อนเมื่อสายตาเหลือบเห็นจานที่วางอยู่อีกโต๊ะใกล้ๆ

“เรียบร้อยแล้วล่ะจ้ะศิลาแล้วทางนี้วีคงไม่ต้องถามหรอกนะ เห็นๆ กันอยู่”กล่าวบอกเพื่อนแกมหยอก

“แหะๆ จ้ะ ก็เห็นแล้วนี่”ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเพื่อนแซวมา

“เราถ่ายไปสิบม้วน ก็๓๕๐ใบ แต่มีรูปที่ติดวิญญาณแค่๕ รูปเองนะ”ศิลาใช้มือปาดรูปออกให้กระจายเต็มโต๊ะ และหยิบภาพที่ตนรัดหนังยางไว้ขึ้นมาหลังจากที่รตาดูเสร็จ

“อยู่นี่จ้ะ รูปที่ติดดวงไฟและวิญญาณนะ”ศิลาส่งให้วีรนุช“รูปส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร นอกจากภาพในห้อง”วีรนุชก้มมองภาพที่รับมาถือไว้ดวงตาเปล่าประกายตื่นเต้นเพราะดวงไฟกลมนั้นโฉบไปเป็นลำแสงยาวลอยวนอยู่หน้าห้องเรียนแถวบันไดทางขึ้นมา

อีกรูปเป็นรูปหน้าห้องเรียน แต่ภาพถ่ายที่ออกมาชัดเจนแม้จะไม่มีแสงสว่างมากนัก

“นี่ๆ ดูซิ ดูเลยวี เห็นไหม?  เห็นเงาคนยืนอยู่รึเปล่า? หน้าห้องเอแม้จะมองไม่เห็นเงาบนพื้น เงาที่เห็นบอกได้เลยว่าเป็นรูปร่างของคน แม้จะไร้ขา”ศิลาชี้มือให้ดูรูปพร้อมคำอธิบายโดยละเอียด  น้ำเสียงที่พูดมาบอกอาการตื่นเต้น

วีรนุชและเพื่อนอีกสองคน หนึ่งหนุ่มชะโงกใบหน้าเข้าไปมองและเห็นพ้องตามนั้น หญิงสาวรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาเฉยๆ จนต้องยกมือขนาบกับอกใบหน้าซีดเผือด ปากเม้มเข้าหากันแน่น พยายามกัดริมฝีปากเอาไว้อย่างเต็มที่ความเงียบเริ่มปกคลุมบริเวณชั้นบนนั้นชั่วคราว

วิมหยิบภาพอีกภาพยื่นส่งให้ศิลา  “นี่อีกรูปหนึ่ง”

ศิลาวางแผ่นเก่าลงบนโต๊ะให้รวมกับแผ่นอื่น  “ภาพนี้ทุกคนสังเกตที่ประตูนะ ก่อนที่เราจะไปถึงหน้าห้อง ฉันถ่ายเอาไว้ ประตูมีรอยแง้มโดยที่เราไม่มีโอกาสเห็นหากไม่ใช่ภาพถ่าย ทั้งๆ ที่เรายังไปไม่ถึงหน้าห้องมีใครอยู่ในห้องตอนเราเดินเข้าไป? กุญแจก็ยังอยู่กับเรา  จะว่าลุงจำเริญก็ไม่น่าใช่”พูดจบก็มองหน้าเพื่อนๆ

“แล้วมือที่ยื่นออกมาเป็นมือของใครกัน?”วดีถามขึ้นลอยๆ

ทุกคนมีใบหน้าถอดสี เหงื่อเม็ดเป้งๆโผล่ตามหน้าผากมน ใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ

“ตอนนั้น ฉันมั่นใจไม่มีใครเดินล่วงหน้ามาแน่ และเป็นไปไม่ได้ว่าลุงจำเริญจะล่วงหน้าพวกเรามาที่ห้องลุงแกไม่หลอกพวกเราแน่นอนและตอนไปถึงเราจะต้องเสียบกุญแจก่อนจะหมุนให้ลูกบิดคลายล๊อกนี่นา?”วดีบอกทุกคน เพราะเธอเป็นคนถือกุญแจเอง

“แล้วมือที่โผล่ออกมาเป็นมือของใครล่ะ? ”รตาถามเพื่อนๆ

คราวนี้สายตาทุกคู่เงยขึ้นประสานกันโดยไม่ได้นัด..?

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*ด้วยรัก*~




/นั่งถักทอสายรุ้งจากทุ่งกว้าง
ที่สว่างด้วยแสงแห่งความหวัง 
ความคิดถึงส่งให้เป็นพลัง
ผ่านสายฟ้าอีกฝั่งด้วยตั้งใจ

/ยังบอกรักฝากไว้ใต้ขอบฟ้า
กับดวงจิตอ่อนล้าและสั่นไหว
เพราะอยู่ห่างเหลือเกินจะเดินไป
คิดขึ้นมายามใดได้น้ำตา

/ฉันจึงกลั่นถ้อยฝากลมเย็นถึง
กระซิบคำหวานซึ้งว่า”ห่วงหา”
ให้ดวงดาวพราวพร่างกลางนภา
กระพริบบอกเธอว่า”ฉันห่วงใย”

/ถ้าได้เป็นคนสำคัญในวันหนึ่ง
ไม่ต้องนั่งรำพึงกว่าถึงได้
ขอเป็นคนที่เธอรักพร้อมปักใจ
อยู่เคียงใกล้ไม่ไกลใจละเมอ

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ร่วมร้อยใจมอบถวายแก่พ่อหลวง



ร้อยรักให้ยืนนาน
ก่อนผสานเป็นหนึ่งใจ
ร้อยพันฝันยิ่งใหญ่
รวมกันไว้ในแผ่นดิน

สานใจให้เป็นหนึ่ง
เพื่อตราตรึงไม่สูญสิ้น
มอบถวายองค์ภูมินทร์
ตราบชีวินสิ้นมลาย

ร่วมกันร้องเพลงชาติ
ป่าวประกาศด้วยมุ่งหมาย
ทุกแห่งที่แฝงกาย
ร้อยทุกสายของสัมพันธ์

ร้อยเอยร้อยดวงใจ
ทั้งเหนือใต้สมานฉันท์
ด้วยเราพี่น้องกัน
ร่วมแบ่งปันกำลังใจ

รอยยิ้มไม่ต้องซื้อ
แค่จับมือก้าวเคียงใกล้
ฝ่าฟันมิหวั่นใด
ดับโพยภัยให้ร่มเย็น

ร้อยดาวที่พราวพร่าง
จันทร์กระจ่างส่องทางเห็น
ร้อยฝันร้อยจันทร์เพ็ญ
ให้งามเด่นเป็นหนึ่งเดียว ฯ

ทีฆายุ โกโหตุ มหาราชา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านานด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า นางสาว พลอยตะวัน ปุญชรัศมิพงศ์

05/12/2556

~*เคียงขวัญ*~



/นั่งมองจ้องดาวพราวฟ้า
แหงนหน้าคราเดือนเลื่อนผัน
ใจคิดจิตครวญป่วนปั่น
ร่วมฝันมั่นรักถักทอ

/สองใจไม่คลายหายห่าง
เคียงข้างอย่างเก่าเฝ้าก่อ
ทุกค่ำฉ่ำชื่นตื่นคลอ
พะนอต่อคำร่ำไป

/เธอถักปักร้อยถ้อยหวาน
ขับขานหว่านพรมขมไหม้
เอ่ยพร่ำลำนำย้ำใจ
อุ่นไอใกล้รุ่งทุ่งทอง

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ขอบพระคุณ..คำอวยพร


/ขอพรชัยมงคลดลบันดาล
ให้พี่น้องทุกท่านชื่นบานทั่ว
ไร้สิ่งขุ่นหมองจิตสะกิดตัว
ห่างหม่นมัวเหมือนพรป้อนในกานท์
ให้ท่านมีความสุขไม่ทุกข์โศก
นิราศโรคนิราศภัยดังไขขาน
อายุมั่นขวัญคงธำรงนาน
สุขสำราญชีวิตเป็นนิตย์เทอญ.
พลอย ขอกราบขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งและจริงใจ กับคำพรวันเกิด
และขอตั้งจิตอธิษฐานให้พรที่ได้รับจากทุกๆ ท่านนั้น
จงได้ส่งผลอันล้ำเลิศ ย้อนกลับสู่ทุกๆ ท่านหมื่นเท่าทวีคูณโดยทั่วกัน
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ด้วยรัก...จากใจ
แพรอักษร

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

~*สายลมรัก*~


/มองลมโบกพลิ้วไหวใจเหน็บหนาว
พัดแผ่วผ่าวเหมือนคราวผู้บ่าวอ้อน
ก่อนเคยเคียงคู่มั่นหมั่นอาทร
ทั้งคอยผ่อนร้อน-เย็นเป็นประจำ

/แม้วันเคลื่อนเดือนคล้อยไม่ลอยใกล้
สองเราสัญญาใจใช่ต้องย้ำ
ผูกสมัครรักใคร่ไม่เปลี่ยนคำ
ขอดื่มด่ำแสงจันทร์กลั่นสำเนียง

/จะมั่นคงซื่อตรงในดงรัก
ทุกข์-สุขจักแบ่งเบาเราไม่เลี่ยง
ยามคืนหนาวก่อไฟให้พอเพียง
นอนฟังเสียงฟืนปะทุกันจุใจ

/ช่วงเดินทางรอนแรมฟ้าแย้มทุ่ง
เกี่ยวสายรุ้งกรวดดินกลิ่นดอกไม้
คอยต่อรักสานพจน์รดสายใย
ตอนก้าวเดินทางไกลใคร่ปลอบโยน

/ด้วยเพียงหวังจะพ้นทนยิ้มชื่น
ไม่ต้องขื่นกับชีวิตติดหัวโขน
พาดวงใจลอยล่องจากคลองโคลน
ลาทางโน้นมาทางนี้หนีระทม

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๓*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

รุ่งเช้า ศิลาตื่นลุกขึ้นมาเตรียมกล้องจัดเป้และฟิล์มก้าวขาเดินออกไปหามารดาที่ห้องครัวเพื่อขอชุดปิคนิคขนาดย่อมๆก่อนเข้าไปอาบน้ำเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ไปโทรศัพท์หาเพื่อนระหว่างรตากับปภาวดีและถามว่าใครพร้อมแล้วบ้าง จะได้แวะถูกไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคอย
เมื่อลงมาข้างล่างเห็นหลังมารดาไหวๆ ที่ประตูมารดาคงจะเดินไปส่งบิดาที่รถเหมือนเช่นทุกวัน แต่ศิลาก็เดินออกไปดู
ไม่มี...!
ขยี้ตาแรงแล้วมองใหม่...
เหมือนเดิม


หายไปไหน..!?
ทำไมมารดาเดินเร็วนักสายตาเธอก็จับที่ร่างของมารดาตลอดเวลานี่นา ไม่น่าจะหายไปเร็วนักศิลาโคลงศีรษะไปมาแววตาฉงนแต่ก็เดินกลับเข้าไปด้านใน ตรงเข้าห้องครัวและเห็นมารดายืนล้างผักสดที่อ่าง ด้านข้างซ้ายมือถัดจากซิ้งล้างเป็นหม้อหุงข้าวและตะกร้าปิกนิกใบย่อมวางอยู่พร้อมอาหารวางเรียงในกล่องน่าทาน
ศิลาเดินเข้าไปโอบเอวมารดาไว้หลวมๆเอียงหน้าซบกับไหล่ท่านอย่างรักใคร่
“คุณแม่..น่ารักที่สุดเลยขอบคุณค่ะ”หล่อนยกศีรษะขึ้นตั้ง แล้วยื่นหน้าจุ๊บแก้มมารดาเบาๆ  “จุ๊บ”
คุณมารศรีหันมายิ้มให้ลูกสาว  “ประจบจะเอาอะไรจ้ะ? เด็กคนนี้”ถามกลับด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้า
ศิลาไม่พูดอะไร แต่เฉพูดไปถึงบิดา  “คุณพ่อไปทำงานสายหรือคะวันนี้หนูเห็นคุณแม่เพิ่งเดินไปส่งเมื่อกี้”
คุณมารศรีชำเลืองมองมาทางลูกสาวแวบหนึ่ง “หนูละเมอหรือไงลูก..คุณพ่อออกไปเกือบชั่วโมงแล้ว และแม่ก็อยู่แต่ที่ในครัวนะยังไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ศิลาสะดุ้งในใจอ้าปากค้างดวงตากลมโตด้วยความคลางแคลงสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร
“วันนี้จะไปไหนกันหรือจ้ะกลับมืดหรือเปล่าลูก? ”คุณมารศรีถามเพราะลูกสาวออกจากบ้านติดต่อกันสองวันแล้ว
“คงเย็นๆ นะคะแม่ศิลามีนัดกับปภาวดีและเพื่อนอีกสองคน เรามีเรื่องคุยกันตามประสาสาวน้อยน่ะค่ะ”พูดแล้วก็ยิ้มหวานให้มารดาเช่นเคย
มารดายิ้มและมองลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาอ่อนโยน  “เห็นคุณพ่อบอกว่าจะไปหาพี่มณีนะพรุ่งนี้หนูไปด้วยไหมจ้ะ? หรือจะอยู่บ้าน  !”ถามหยั่งเชิง
“ขอหนูคิดดูก่อนนะคะแม่กลับมาเย็นนี้จะให้คำตอบค่ะ”ก้าวขายืนเอียงตัวเข้าไปดูนาฬิกา “หนูไปก่อนนะคะ เดี๋ยววดีจะคอยค่ะ”ยื่นหน้าไปจูบแก้มมารดาอีกรอบไม่ลืมคว้าตะกร้าอาหารติดมือไปด้วย
ครอบครัวศิลามีกันสี่คนมีพี่สาวชื่อว่ามณีอีกคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ไปเรียนแพทย์ในเมืองและเช่าหอพักอยู่ในรั้วมหาลัย เหตุผลที่ต้องอยู่ที่นั่นก็เพราะเรียนหนักมากและจะกลับมาบ้านส่วนน้อย บางครั้ง ก็ต้องไปหาพี่สาวที่หอเองหากคิดถึงและนานเกินไป
ใช้เวลาไม่มากนักศิลาก็มาถึงหน้าบ้านปภาวดีที่ออกมายืนรอเพื่อนอยู่แล้ว
“รอนานไหมวดี?”ถามเพื่อนเมื่อเปิดประตูเข้ามานั่งเรียบร้อย
“ฮื่อ..ไม่เลย คว้ากล่องผลไม้กะจะเดินออกมาดูเธอก็ขับรถมาพอดีนี่ล่ะจ้ะ เธอรองท้องอะไรมารึยัง? ”ตอบและถามกลับบ้าง
“เรียบร้อย..เธอล่ะ?”หันไปมองเพื่อนเห็นอมยิ้มก่อนพยักหน้า “ไม่น่าถามเลยฉัน”และทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“ไปหารตาเลยนะ”บอกเป้าหมายต่อไป
เมื่อแวะรับจนครบแล้วทั้งหมดก็มุ่งตรงไปที่โรงเรียนเป้าหมายต่อไปคือ บ้านของลุงจำเริญภารโรงประจำโรงเรียนนั่นเอง
ศิลาจอดรถไว้ด้านหน้าที่จอดประจำของครูประจำชั้น แล้วทั้งสี่ก็เดินเลยไปทางด้านหลังโรงเรียนซึ่งเป็นบ้านของลุงจำเริญที่แยกห่างออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตร เมื่อทั้งสี่ไปถึงเห็นลุงกำลังนั่งเล่นกับหลานสาวตัวน้อยบนแคร่ด้านหน้า หมาเมื่อเห็นเด็กสาวทั้งสี่ก็กระดิกหางเดินไปหาด้วยความคุ้นเคย
“อ้าว..! มาได้ยังไงละเนี๋ย หืม! ”แกถามด้วยความฉงน เพราะไม่ค่อยมีเด็กมาช่วงเวลาปิดเทอมก็นึกแปลกใจ เมื่อรับไหว้จากเด็กๆ
“สวัสดีค่ะลุงจำเริญ คือว่าพวกหนูอยากจะขอยืมกุญแจของปีสองห้องเอหน่อยนะค่ะลุงพอดีรตาเขาลืมเอาสมุดรายงานกลับ กลัวจะไม่ได้ทำเพราะโรงเรียนใกล้จะเปิดแล้วเขาเลยชวนมาเป็นเพื่อนค่ะ”ปภาวดีพูดไปเป็นตุเป็นตะไม่สนใจว่ารตาเพื่อนรักจะเหยียบที่เท้ายังไงแต่พยายามชักเท้าที่เพื่อนเหยียบเอาไว้ออกด้วยสีหน้ายุ่งๆพร้อมกับปากที่ขมุบขมิบโดยไร้สรรพเสียง
“อ้าว..! แล้วกัน ทำไมขี้ลืมจังหนูรตา เดี๋ยวนะลุงจะไปหยิบมาให้”ลุงจำเริญกระเตงแม่หนูใส่เอวเมื่อลุกขึ้น แกหายไปสักครู่ก็เดินออกมาที่แคร่หน้าบ้านพร้อมกุญแจ
“อะ นี่ดอกนี้ ได้แล้วก็เอากุญแจมาคืนลุงนะอย่านานนักล่ะ มันผิดระเบียบ”แกกำชับอีกครั้งก่อนจะยื่นกุญแจให้ปภาวดีหัวหน้าชั้น
ทุกคนเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้งแต่เป้าหมายเปลี่ยนเป็นบันไดขึ้นชั้นเรียนแทนรถยนต์ศิลาหยิบกล้องออกมาเตรียมไว้แล้ว และเริ่มถ่ายตั้งแต่บันไดทางขึ้นไปเรื่อยๆ ช้าๆแทบจะทุกจุดเลย
แช๊ะ แช๊ะ...!
“เตรียมฟิล์มมาเยอะหรือเปล่าศิลา? ”ปภาวดีถามเมื่อเห็นเพื่อนถ่ายเอาๆ
“สิบม้วนวดี เธอว่าพอไหม? ”คราวนี้ถามเหมือนปรึกษา
“ฮื่อ..น่าจะพอ”คาดเดาเมื่อคิดว่าฟิล์มม้วนหนึ่งสามสิบหกภาพเมื่อคูณสิบก็น่าจะพอ
วีรนุชมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย  เพราะผีถ้วยแก้วเอย วิญญาณพเนจรเอยภาพถ่ายติดวิญญาณอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นเคยนึกว่ามีแต่ในทีวีและหนังสือเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัวเองเลย
ศิลายกมือพนมขึ้นเหนืออก ปากขมุบขมิบ
สาธุหากวิญญาณของคุณนิลนาถยังอยู่ที่ห้องนี้ ได้โปรดปรากฏร่างด้วยเถอะ...!

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๒*****


ความเดิมตอนที่แล้ว

นิลนาถตายแล้ว..!
มือสองข้างพาดไปบนโต๊ะใบหน้าที่ตะแคงข้างนั้นซีดขาวเผือดน้ำลายหยดย้อยออกมาเปื้อนเต็มแก้มและเส้นผมที่ปรกหน้ากลิ่นน้ำย่อยลอยออกมากับน้ำลายเหนียวอย่างคนสุขภาพไม่ดีคลุ้งไปทั่วห้อง


ตั้งแต่วันนั้นมาริญลดาก็เห็นวิญญาณอยู่บ่อยๆ จนเกือบจะเป็นโรคประสาทพ่อกับแม่เขาก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่น
ครั้นเรียนจบริญลดาก็ได้ทำงานให้กับบริษัทฯ แห่งหนึ่ง แต่ทำได้ไม่นานเธอก็มาจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุลื่นล้ม ศีรษะฟาดกับขอบอ่าง แต่ทีน่าสังเกตคือดวงตาที่เบิกโพลง และยังค้างอยู่ไม่ยอมปิด เธอตกใจอะไร?แต่ทุกคนก็หาสาเหตุไม่ได้”ปิ่นมณีเล่ามาถึงตรงนี้ด้วยน้ำเสียงละห้อยมือคว้าแก้วเครื่องดื่มบนโต๊ะมาจิบ
“งั้นก็แสดงว่า  วิญญาณคุณนิลนาถก็ยังอยู่ที่โรงเรียนนะสิคะ?”ศิลาถามอย่างคนช่างสังเกต แล้วยกนาฬิกาดูเวลาที่ปาเข้าไปค่อนบ่าย
“เอ่อ..! พวกหนูรบกวนเวลาของพี่มาพอสมควรแล้วต้องขอบพระคุณข้อมูลเพิ่มเติมและเครื่องดื่มมากๆ นะคะขอถือโอกาสนี้ลาเลยแล้วกันค่ะ สวัสดีค่ะพี่”ปภาวดียกมือไหว้พร้อมทั้งเอ่ยออกมาหลังจากที่เห็นเพื่อนดูนาฬิกาที่ข้อมือ และเจ้าของบ้านเงยหน้ามองข้างฝา
“จ้ะพี่ปิ่นก็มีธุระเหมือนกัน แล้วพวกเรามากันยังไงนี่?”ถามกลับบ้าง
“ศิลาเอารถมาค่ะแต่จอดหน้าปากซอยนี่เองพวกเราลากันอีกครั้งนะคะ”ทั้งหมดยกมือไหว้เจ้าของบ้านสาวอีกครั้งเมื่อเธอเดินมาส่งที่ประตู

-----------
เมื่อนั่งมาในรถทุกคนต่างก็เงียบ จนศิลาเอ่ยออกมา“ฉันว่าวิญญาณของคุณนิลนาถต้องอยู่ที่โรงเรียนและโต๊ะที่สี่ริมหน้าต่างตัวนั้นแน่ๆ”
“พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดีล่ะ?”รตาโพล่งถามมาบ้าง
“ขืนปล่อยไว้ไม่ดีแน่ๆเลย”ปภาวดีบอก
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วหันไปทางวีรนุชที่นิ่งเงียบไม่ออกความเห็นใดๆ
“วี..! เธอคิดว่าไง? ”ศิลาถามตรงๆ
วีรนุชชำเลืองมองตอบเพื่อนๆที่กำลังรอฟังคำของหล่อน “พวกเธอไม่กลัวจะเจออะไรที่มันแปลกๆเหมือนคุณริญลดาบ้างหรือ?”สีหน้านั้นครุ่นคิดด้วยความกังวล
“งั้นเราต้องเรียกหมอผีมาทำการขับไล่วิญญาณออกไปแต่เราต้องหาหลักฐานก่อนว่า ในโรงเรียนของเรามีวิญญาณคุณนิลนาถยังวนเวียนอยู่จริงๆแล้วให้เพื่อนๆ ช่วยดู และเป็นพยาน”ศิลากล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบเหมือนครุ่นคิดอย่างหนัก  ก่อนจะนำรถเข้าจอดข้างทางมือขาวบอบบางดีดเข้ากัน
“ป๊อก...! ได้การแล้ว”อุทานเสียงดัง เรียกความสนใจจากเพื่อนๆ
“อะไรหรือศิลาคิดอะไรออก”รตาถามด้วยความตื่นเต้นด้วย
“เราต้องถ่ายภาพวิญญาณเพื่อเอามาเป็นหลักฐานไง เข้าใจไหม? รูปถ่ายติดวิญญาณนะ”ตอบอย่างตื่นเต้น
“ถ้าเราถ่ายภาพวิญญาณของคุณนิลนาถได้นะอาจารย์จำรูญและทุกๆท่าน คงจะเถียงไม่ออกหรอก”ปภาวดีกล่าวบ้าง
“แล้วเธอคิดว่า มัน จะติดเหรอ? ศิลา”วีรนุชถาม
“วี..เธอไม่เคยได้ข่าวหรือไงที่ภาพถ่ายติดวิญญาณที่เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งไปแล้วน่ะ”ศิลาเท้าความให้เพื่อนที่นั่งมองด้วยดวงตาปริบๆ
“ตกลงตามนี้นะว่าไง ใครจะคัดค้านบ้าง?”ถามความเห็นกันอีกรอบสายตาจับไปที่ใบหน้าทีละคนช้าๆเมื่อสรุป
“งั้นพรุ่งนี้แปดโมงเราจะแวะรับเหมือนวันนี้เราจะไปหาลุงจำเริญเพื่อขอกุญแจ บอกลุงว่า เรามาเอาของที่ลืมไว้ด้วยกัน”ศิลากล่าวปิดท้ายก่อนจะเข้าเกียร์ออกรถขับต่อไปส่งเพื่อนๆ
“เดี๋ยววีรนุชก่อนแล้วตามลำดับบ้านใครใกล้เช่นเคยนะ”ปภาวดีบอกแทนเพื่อนคนขับ
-------------
รุ่งเช้าศิลาตื่นลุกขึ้นมาเตรียมกล้องจัดเป้และฟิร์ม ก้าวขาเดินออกไปหามารดาที่ห้องครัวเพื่อขอชุดปิกนิดขนาดย่อมๆก่อนเข้าไปอาบน้ำเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ไปโทรศัพท์หาเพื่อนระหว่างรตากับปภาวดีและถามว่าใครพร้อมแล้วบ้างจะได้แวะถูก ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคอย
เมื่อลงมาข้างล่างเห็นหลังมารดาไหวๆ ที่ประตูมารดาคงจะเดินไปส่งบิดาที่รถเหมือนเช่นทุกวัน แต่ศิลาก็เดินออกไปดู
ไม่มี...!
ขยี้ตาแรงแล้วมองใหม่...
เหมือนเดิม

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๑*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

นิลนาถเมื่อได้เพื่อนก็ดีใจมากรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาโรงเรียนทุกวัน ช่วงแรกๆก็ดีหรอกแต่พอนิลนาถไม่มาวันเดียว
ริญลดาก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม บวกกับความที่เป็นคนร่าเริงเข้ากับใครๆ ได้ดี มีสัมมาคารวะ ริญลดาจึงมีเพื่อนเยอะ 
พอนิลนาถมาโรงเรียนและรู้ว่าริญลดามีเพื่อนใหม่ ก็คอยแต่จะรั้งริญลดาให้ไปโน่นมานี่กับตัวเองจนริญลดาเริ่มเบื่อ
ความ หวงแหนเพื่อน และกลัวว่าจะเสียเพื่อนไป ทำให้นิลนาถคอยตามติดริญลดาทุกฝีก้าวจนริญลดารำคาญมากขึ้นตามลำดับ ถึงคราวทนต่อไปไม่ไหว


“นาถ  ! ขอร้องนะ อย่ามาตามเกาะติดฉันมากนักเลย ให้ฉันได้มีโอกาสมีเพื่อนคนอื่นๆบ้างเถอะ ฉันจะอยู่กับเธอตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะและตัวเธอเองก็ไม่แข็งแรงพอที่จะไปไหนมาไหนกับฉันได้ เธอต้องพักมากๆไม่ใช่มัวแต่ตามฉันจนลืมดูแลตัวเอง”พูดแค่นั้นริญลดาก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดีแม้นว่านิลนาถจะตามอ้อนวอนยังไงเธอก็ไม่สน
หลังจากวันนั้นนิลนาถก็เริ่มปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อว่าจะได้ไปไหนมาไหนกับริญลดาได้เธอพยายามไม่เข้าเรียนสาย ชั่วโมงพละก็จะลงไปร่วมด้วยเสมอไม่ฟังใครแม้อาจารย์จะบอกให้ไปพักที่ห้องพยาบาล
ผลของการที่ไม่เคยเล่นกีฬาเลยทำให้นิลนาถต้องเข้าโรงพยาบาล แต่แทนที่เธอจะนอนโรงพยาบาลเธอกลับมาโรงเรียนเสียอย่างนั้น พี่ว่า เธอคงกลัวจะโดนแย่งเพื่อนเลยกัดฟันออกจากโรงพยาบาลและยังคงตามริญลดาไม่ห่าง
“วันนี้กลับพร้อมกันนะลดา”นิลนาถเดินไปหาริญลดาที่โต๊ะด้วยใบหน้าซีดเซียวแม้ว่าจะพยายามฝืนยิ้มก็ยังเห็นถนัดตา
“เอ่อ..”ริญลดาพูดไม่ออกเพราะตกใจกับท่าทีของเพื่อนที่หวงแหนตัวเธอเอามากมาย
วันนั้นช่วงเช้าผ่านไปโดยไม่มีอะไร
แต่พอชั่วโมงที่๕  ซึ่งเป็นชั่วโมงพละเธอก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ลงมานั่งรอที่ขอบสนามด้วย วันนั้นเป็นคิวของวอลเลย์บอลและเธอก็ขออาจารย์ลง
“นี่ลดา..!เธอไปห้ามนาถเขาดีกว่า จริงๆ ให้ไปนอนโรงพยาบาลได้ก็ดีนะหน้าซีดยังกับไก่ต้มขนาดนั้น”เพื่อนๆ ในห้องต่างก็เห็นด้วยว่าริญลดาสมควรจะไปห้าม
“ช่างเขาสิในเมื่อเขาไม่รักตัวเอง และสมัครใจที่จะเล่น”ริญลดาพูดอย่างไม่แคร์
เมื่อชั่วโมงที่  ๕ ผ่านไป เริ่มเข้าชั่วโมงที่ ๖อาการป่วยของนิลนาถเริ่มออก เธอนั่งก้มหน้ากัดฟันนิ่งแต่ร่างกายนั้นสั่นสะท้านจนไหล่ไหว เพื่อนๆบางคนเริ่มหันมามองบ่อยขึ้นอาจารย์ก็หยุดการสอนและเดินมาที่โต๊ะ
“นิลนาถไหวรึเปล่า? ครูว่าเธอควรไปพักที่ห้องพยาบาลนะ”น้ำเสียงบอกความกังวลและห่วงใยของอาจารย์ทำให้นิลนาถเงยหน้าขึ้นตอบ
เท่านั้น...!
ดวงตาของทุกคนเบิกค้าง เมื่อเห็นหน้านิลนาถชัดๆ ใบหน้าที่ไร้สีเลือดฝาดเจือปนมีแต่ความขาวซีดเคลือบอยู่ทั่วแทน
“ม่ะไม่ค่ะ หนูไม่เป็นไร”เสียงที่ตอบขาดเป็นห้วงๆ สั่นๆ เหงื่อชุ่มผุดตามหน้าผากมน นิลนาถพยายามอดทนแม้จะทรมานพลางพลิกข้อมือดูนาฬิกาโดยไม่สนใจสายตาของใคร 
อาจารย์เดินกลับไปหน้าห้องสอนต่อ
‘อา..! จวนแล้วจวนจะหมดชั่วโมงเรียนแล้ว’
บอกตัวเองซ้ำๆซากๆ อย่างอดทน แต่ยังไม่ทันหมดชั่วโมงเรียนดีนิลนาถก็ฟุบหน้าลงกับหนังสือบนโต๊ะที่กางอยู่ 
แกรก...
ตุ๊บ..
เสียงปากกาตกจากมือลงสู่พื้นร่างบางสั่นน้อยๆ แต่ไร้สรรพเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“นิลนาถ...อาจารย์คะ  ! นิลนาถ? ”ตอนนั้นพี่ตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกเรียกอาจารย์เสียงดัง มือก็จับไปที่ตัวของนาถอย่างกลัวๆ
“นิลนาถ..”เสียงอาจารย์เรียกพร้อมสาวเท้ามาอย่างเร็ว  “ช่วยกันพาไปห้องพยาบาลเร็ว”สั่งไม่ทันจบหัวหน้าห้องกับเพื่อนอีกคนจะขนาบข้างพยุงปีกพาออกไป 
แต่..!
“ม่ะไม่ค่ะอาจารย์ หนะหนูไม่ อยาก จาก ตรง นี้ ไป ไหนค่ะ ให้ หนู อยู่ ตรง นี้ ต่อ นะ คะหนู ไม่ อยาก อยู่ คน เดียว”น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูกระท่อนกระแท่นเต็มทีมันแผ่วเบา แหบโหยอย่างน่าสงสาร
ท่ามกลางความตกใจของเพื่อน
“ไม่ได้ใครก็ได้ ไปเรียกหมอมาเร็ว รถพยาบาลด้วยนะ
สิ้นเสียงของอาจารย์ก็เกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อยเมื่อร่างของนิลนาถสะอึกจนใบหน้าและลำตังกะตุกขึ้น
และแล้ว..นาทีนั้นที่ร่างบางก็ทรุดลงไปอย่างสิ้นเรี่ยวแรงตอนนั้นนาทีนั้น
นิลนาถตายแล้ว..!
มือสองข้างพาดไปบนโต๊ะใบหน้าที่ตะแคงข้างนั้นซีดขาวเผือดน้ำลายหยดย้อยออกมาเปื้อนเต็มแก้มและเส้นผมที่ปรกหน้ากลิ่นน้ำย่อยลอยออกมากับน้ำลายเหนียวอย่างคนสุขภาพไม่ดีคลุ้ง

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

เพ้อ..


/เมื่อตะวันเริ่มคล้ำสีดำทาบ 
ท้องฟ้าฉาบเมฆน้อยมาลอยใกล้ 
สิ่งที่ฉันอยากทำทุกค่ำไป
 คือ..คิดถึงคนไกลใฝ่ละเมอ

/ยามนี้เธอนั้นรู้อะไรไหม 
ถ้าหากว่าเป็นได้ใคร่เสนอ
 ขอเป็นนกบินล่องเกาะห้องเธอ
 ให้ตัวเพ้อจืดจางลงบางวัน

/ป่านนี้เธอคงนอนพักผ่อนแล้ว
 ไม่รับรู้คำแว่วดังแถวนั้น
 มีคนเอ่ยว่ารักฝากแสงจันทร์ 
ในบันทึกสร้อยฝันแอบกลั่นเรียง

/กับถ้อยคำแสนงามยามเอ่ยเอื้อน
 ดั่งเสมือนได้บอกออกน้ำเสียง
 เป็นแฟนพันธ์แท้จริงอิงสำเนียง 
เฝ้าคิดเพียงเท่านี้มีสุขพอ

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๐*****

ความเดิมตอนที่แล้ว


ในที่สุดก็ปิดเทอม
ศิลาเอ่ยปากชวนปภาวดีและรตามาที่บ้านวีรนุชแต่เช้าซึ่งทั้งหมดก็เริ่มพุ่งเป้าไปที่บ้านเกิดของนิลนาถซึ่งอยู่ไปอีกหมู่บ้านไม่ไกลกันนัก

ทั้งสี่มาถึงหมู่บ้านที่นิลนาถเคยอยู่และจอดรถเดินดูบ้านเลขที่ๆจดมาจนเจอ

ปภาวดีก้มๆ ส่ายตัวมองเข้าไปภายใน เหมือนจะไม่มีคนอยู่เห็นป้าข้างบ้านออกมาจึงยกมือไหว้แล้วถาม

“สวัสดีค่ะคุณป้า เอ่อ..นี่ใช่บ้านของคุณนิลนาถปานน้อยไหมคะ? ”



หญิงชราเงยหันมามองพวกเด็กๆ ด้วยความแปลกใจ แววตาครุ่นคิด

“อ้อ..! หนูนาถหรือ? ก็รู้จักนะ”ท่านพยักหน้ารับ  “พวกหนูมีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่า?”ถามกลับไปบ้าง

ปภาวดีมองหน้าเพื่อนๆ ก่อนจะตอบว่า “คือพวกหนูอยากจะทราบว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหนน่ะค่ะคุณป้า”

“หรือจ้ะ..! งั้นเข้ามาก่อนสิ”เมื่อถามไถ่กันสักครู่ก็ถอดสลักประตูให้เด็กทั้งสี่เข้าไปนั่งที่โต๊ะม้าหิน  “เอ้าๆ นั่งก่อนๆ เดี๋ยวป้าจะเอาน้ำมาให้”

แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ ศิลาก็จับท่านไว้ “อุ๋ย..! อย่าลำบากเลยค่ะ พวกหนูดื่มแล้วเข้ามานี่ล่ะค่ะคุณป้าอยากจะรบกวนคุณป้าช่วยเล่าเรื่องของคุณนิลนาถให้ฟังหน่อยสิคะ”เมื่อพูดออกไปแล้วศิลาก็เตรียมหาคำตอบเสริมไว้ในสมอง เพราะท่านคงสงสัยว่าพวกเธออยากรู้ไปทำไม

“พวกหนูรู้จักหนูนาถด้วยหรือ? คนล่ะรุ่นกันนี่? ”ป้าตาบตั้งข้อสังเกต

“ค่ะคุณป้า คนล่ะรุ่นกันค่ะแต่ว่าพวกหนูเรียนห้องเดียวกับคุณนิลนาถน่ะค่ะ”รู้ว่าคำตอบไร้เหตุผลไปหน่อยกลัวเหมือนกันว่าป้าเขาจะไม่เชื่อและยอมเล่า

แต่..ผิดคาด เมื่อท่านพยักหน้า

“จริงๆ หนูนาถ อยู่กับพ่อสองคน เพราะแม่กับพ่อแยกทางกัน ช่วงหลังมาพ่อเขาทำธุรกิจล้มเหลว เป็นหนี้เป็นสินมากมาย เจ้าหนี้เปลี่ยนหน้ามาทวงกันทุกวัน บวกกับช่วงหลังๆ มานี่ดื่มหนักไปหน่อยและไม่ค่อยสนใจลูกสาวเท่าที่ควร เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ พ่อเขาก็ขายบ้านให้ป้าแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น ป้าไม่รู้ว่า พวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่ได้ข่าว มาเรื่อยๆ ว่า หลังจากพ่อเขาฆ่าตัวตาย แม่ก็มารับไปอยู่ด้วย แล้วนำเงินที่ขายบ้านนั่นแหละรักษาตัวหนูนาถ ที่ป่วยออดๆ แอดๆ มานาน แถมเข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้ ทั้งสองไม่ค่อยกลับบ้านตรงเวลานัก แกคงเหงานะป้าว่า  เฮ้อ..! ”เล่ามาถึงตรงนี้ป้าตาบก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความสลด

ทุกคนมองหน้ากันด้วยดวงตาละห้อย นั่งคุยอีกสักพัก ก็ยกมือไหว้ขอตัวกลับ แต่ศิลาอยากรู้เรื่องจากปากเพื่อนร่วมชั้นของนิลนาถอีก

“ปภาวดี เธอคิดเหมือนฉันไหม? จริงๆเราน่าจะลองไปหาเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งคู่กับรุ่นพี่ตามที่เราจดกันมาเถอะเผื่อได้เบาะแสมากกว่าของคุณป้าเมื่อกี้ก็ได้นะ ดีไหม รตา วีรนุช? ”เอ่ยปากบอกเพื่อนตามที่ใจคิด

ปภาวดีพยักหน้ารับก่อนจะดูรายชื่อที่กระดาษในมือ “งั้นเราพุ่งไปหาคุณปิ่นมณีเพราะพี่เขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ถัดไปอีกสองซอย”

ทั้งหมดเดินไล่ตามซอยและบ้านเลขที่ของรุ่นพี่เพื่อนของนิลนาถจนเจอ

ติ๋งต๋อง..

มีผู้หญิงผมบ๊อบใส่ชุดแซกสวมแว่นเดินมามองหลังผ้าม่าน และเปิดประตูออกมา

“มาหาใครคะน้อง? ”เสียงถามบอกความฉงนเล็กน้อย

“สวัสดีค่ะ พวกเรามาหาคุณปิ่นมณี รังสรรค์  นะค่ะ ไม่ทราบว่าอยู่ไหมคะ?”ทุกคนยกมือไหว้เจ้าของบ้านสาว และปภาวดีก็บอกเจตจำนงในการมาของครั้งนี้

“อ้อ..! พี่เองแหละน้อง”ตอบรับแล้วเดินมาที่ประตู  “เรารู้จักกันด้วยเหรอ? มาจากไหนล่ะนี่?”ถามด้วยความสงสัยและยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษที่ศิลายื่นส่งให้เมื่ออ่านแล้วก็เงยหน้ามองทั้งสี่อีกครั้ง “มาๆ งั้นเข้ามาก่อนสิ”

ศิลาหันมองเพื่อนๆ ที่พยักหน้าให้เข้าไป

ทั้งสี่เดินตามปิ่นมณีเข้าไปนั่งที่ห้องรับแขกปภาวดีทำหน้าที่แนะนำเพื่อนๆและตัวเองบอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้อย่างล่ะเอียด ปิ่นมณีนั่งฟังสักครู่ ก็ลุกขึ้นไปรินน้ำโดยมีรตาตามไปยกมาเสิร์ฟเพื่อนด้วย

“เอาล่ะ พี่เล่าให้ฟังเท่าที่รู้นะจ้ะ”ปิ่นมณีออกตัวก่อน

“เริ่มแรกที่เห็นนาถนั้น เพราะเราได้นั่งคู่กันในชั้นปีสอง จริงๆเขาเป็นคนร่างกายอ่อนแอ ขาดเรียนบ่อย บางทีก็มาเรียนสาย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนๆรังเกียจและไม่ค่อยมีใครอยากคบ พ่อเขาช่วงนั้นไม่ค่อยเอาไหน

บริหารธุรกิจก็ล้มเหลว เลยกินแต่เหล้าชอบโกหกหลอกลวง เล่นการพนัน คนแถวนี้ตอนนั้นไม่มีใครชอบหรอกต่างก็บอกลูกหลานของตัว เพื่อนๆ ก็พลอยรังเกียจนาถไปด้วย บางคนก็แกล้งต่างๆ นาๆนาถเลยกลายเป็นคนเก็บตัวอยู่คนเดียว

เวลามาเรียนก็ชอบซุกร่างกับโต๊ะเรียนนั่นแหล่ะ พี่ว่าเธอเป็นคนโดดเดี่ยวมากนะพอดีมานั่งคู่กับพี่ที่เป็นคนไม่ชอบคุยก็ยิ่งแล้วใหญ่ และช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝนมีนักเรียนย้ายเข้ามาพอดี
เอ..ชื่ออะไรแล้วนะ?

อ้อ..! ใช่แล้ว ริญลดา  สุดใจ ตอนแรกๆ ที่ริญลดาเข้ามานั้นยังไม่ค่อยจะมีเพื่อนนะเลยคบกับนิลนาถอย่างสนิทสนม ทั้งสองตัวติดกันเหมือนปาท๋องโก๋ จนแทบแยกกันไม่ออก

นิลนาถเมื่อได้เพื่อนก็ดีใจมาก รีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาโรงเรียนทุกวัน ช่วงแรกๆก็ดีหรอก แต่พอนิลนาถไม่มาวันเดียว ริญลดาก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม บวกกับความที่เป็นคนร่าเริงเข้ากับใครๆ ได้ดี มีสัมมาคารวะ ริญลดาจึงมีเพื่อนเยอะ พอนิลนาถมาโรงเรียนและรู้ว่าริญลดามีเพื่อนใหม่ ก็คอยแต่จะรั้งริญลดาให้ไปโน่นมานี่กับตัวเองจนริญลดาเริ่มเบื่อ

ความหวงแหนเพื่อน และกลัวว่าจะเสียเพื่อนไป ทำให้นิลนาถคอยตามติดริญลดาทุกฝีก้าวจนริญลดารำคาญมากขึ้นตามลำดับ ถึงคราวทนต่อไปไม่ไหว


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background