เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันนานมากตอนนั้นฉันจำได้ว่าเพิ่งจะอายุแค่ ๑๕ ปี จบมัธยม ๓ ใหม่ๆ จึงขอพ่อกับแม่เข้ามาในกรุงเทพฯเพราะความที่อยากร่ำเรียนให้จบสักระดับหนึ่ง ง่ายๆ สัก ปวส ก็พอ จะได้มีงานดีๆทำกับเขาบ้าง พ่อกับแม่บอกให้ฉันเข้าไปเรียนในตัวเมือง แต่ฉันไม่เอา เพราะไม่อยากเห็นพ่อแม่ต้องลำบากมานั่งส่งเสียกันอีกในเมื่อโตแล้ว ช่วยตัวเองก็ได้ เลยตัดสินสินใจเข้ามาแสวงโชคในกรุงฯ
เพราะความที่เป็นเด็กบ้านนอกคอกนาฉันกับเพื่อนอีกคนก็ตัดสินใจเข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองหลวงและโชคดีที่มีคนพาเราสองคนมาสมัครเป็นคนงานโรงงานเย็บผ้าเป็นพนักงานตัดขี้ด้าย ค่าจ้างที่รับวันละ ๑๒๐-๑๕๐ บาท
ฉันต้องนั่งตัดขี้ด้าย กินใช้อย่างอดออมเพื่อเก็บเงินส่งไปให้แม่กับพ่อทุกเดือน ใจจริงๆอยากจะเก็บให้ได้เป็นก้อนค่อยส่งไปเพื่อซื้อรถไถนา จะได้เบาแรงวัวและพ่อบ้าง แต่เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปเมื่อมีคนมาบอกให้ไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์
ฉันจึงไปสมัครทิ้งไว้ ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ความที่อยากเปลี่ยนงานและทางนั้นเขาขาดคนพอดีฉันเข้าทำงานเป็นพนักงานขายตั๋วรถเมล์ ซึ่งก็ไม่หนักหนาอะไรเหนื่อยแค่ช่วงเช้ากับเย็นๆ ที่เด็กเลิกเรียน และยังพอจะได้นอนบ้างไม่เหมือนเด็กตัดขี้ด้าย ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
รถเมล์สายนี้วิ่งจากถนนตกไปสิ้นสุดที่บางรักผู้โดยสารก็จะเต็มและยืนกันเกือบสุดสายทุกวัน เพราะเป็นทางผ่านจุดสำคัญมากมาย
ผู้คนก็มีหลากหลายประเภทต่างอายุกันไปรอบแรกฉันเข้าทำงานช่วงตีสามไปจนบ่ายสาม และจะเปลี่ยนเวลาหมุนเวียนไปไม่ตายตัว
แต่แล้วเรื่องสยองก็เกิดขึ้นกับตัวฉันในคืนนี้ช่วงตีสองขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่
คืนนั้นรถออกจากท่าจอดเวลาตีหนึ่งกว่าๆผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนขายของรอบดึกตามสถานบันเทิงละแวกนั้นแต่เพราะอยู่ในระหว่างเก็บร้านปิดร้านกันคนจึงไม่เต็มรถนัก
ฉันก็เดินเก็บค่ารถตั้งแต่หัวไปถึงท้ายรถเหมือนทุกๆวัน
ตลอดเส้นทางมีแต่คนลงไม่มีคนขึ้นแม้แต่ป้ายเดียวเมื่อผ่านหน้าตลาดพญาไกร ป้ายนี้จะอยู่ด้ายหน้าวัดพอดีและติดกับรั้วของวัดปรกติป้ายนี้ไม่ค่อยมีคนขึ้นหรือลงในเวลาค่ำคืน จึงดูวังเวงบวกกับตึกที่เก่าคร่ำคร่าเหมือนจะร้างเสียด้วยซ้ำ
“จอดด้วยลูกพี่”ฉันตะโกนบอกพี่เวกคนขับ
“ให้จอดทำไมวะ ไม่เห็นมีใครเลย”เวกตะโกนถามมา
“มีซิ ฉันเห็นเมื่อกี้”สิ้นคำของฉันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดรถมา
“อ้าว! เมื่อกี้คงไม่ทันมอง”
พี่เวกพูดพร้อมกับเข้าเกียร์ออกรถส่วนฉันก็เดินยิ้มตามหลังเธอไปเพื่อเก็บค่าโดยสาร
ผู้หญิงคนนี้ท่าทางแปลกๆ สงสัยเธอจะง่วงนอนเพราะดูอาการสะลึมสะลือเดินใจลอยพิลึกเธอเดินไปนั่งเบาะยาวท้ายรถแล้วนั่งก้มหน้ามองพื้นนิ่ง
“ค่าโดยสารด้วยค่ะ”
ฉันยื่นมือไปขอค่ารถจากเธอแต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจหรือไม่ได้ยิน หรืออีกนัยก็จงใจจะไม่จ่าย
“ขอเก็บค่าโดยสารด้วยนะคะ”
ฉันพูดแบบเซ็งๆเพราะใจเริ่มคิดว่ากำลังจะโดนเบี้ยวค่ารถและกำลังเจอพวกชอบขึ้นรถฟรีเข้าให้แล้ว
“ถึงสำนักงานเขตบางรักบอกด้วยนะคะ”
เธอเงยหน้าพูดกับฉันพร้อมกับยื่นค่ารถให้ฉันโล่งอกที่ไม่โดนเบี้ยว
เมื่อรับเงินมาฉันก็จัดการฉีกตั๋วส่งให้เธอพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่เธอพูดมือขาวซีดเซียวนั้นยื่นมารับตั๋วเสร็จก็ก้มหน้าลงมองพื้นเหมือนตอนที่ขึ้นมาท่าทางน่าสงสัย ใจก็อดคิดไม่ได้เลยต้องนั่งลงอีกฝั่งของเบาะหลังเพื่อสังเกตพฤติกรรมของเธอ
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ก็เรียบๆท่าทางอายุไม่เยอะขนาดเฉียดๆเลขสามน่าจะได้
‘ดึกดื่นแบบนี้ออกมาข้างนอกคนเดียวไม่กลัวบ้างหรือไง?’
ฉันนั่งมองเธอแล้วคิดไปถึงว่าหากมีน้องถ้าออกมาแบบนี้พ่อกับแม่และหล่อนคงต้องกลุ้มใจตายแน่ๆ
ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอนั่งตัวสั่นอากาศตอนกลางคืนเย็นมากและเป็นช่วงปลายปี เธอใส่เสื้อเนื้อบางๆ กับกางเกงสามยีนส์ก็สมควรจะหนาวหรอก
“ปิดหน้าต่างไหมคะ? ”
ฉันพูดด้วยความสงสาร แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจยังคงนั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น ทำให้ฉันอดหมั่นไส้ไม่ได้’แหม..คนอุตส่าห์หวังดีแต่ทำเป็นไม่ได้ยินแบบนั้นได้’
ป้ายหน้าจะเป็นป้ายที่เธอบอกจะลง “ป้ายหน้าถึงแล้วค่ะ”ฉันหันไปบอกเธอเสร็จก็เอื้อมมือไปกดกริ่งให้ เธอหันมาส่งยิ้มและกล่าว “ขอบคุณค่ะ”
ครั้งนี้เองที่ฉันเห็นหน้าเธอถนัด ผู้หญิงคนนี้มีใบหน้าสวยหวาน คมคายเลยทีเดียว
เธอเดินลงไปเหมือนตอนที่ขึ้นรถมาไม่มีผิดเมื่อรถเลื่อนออกจากป้าย ฉันหันกลับไปมอง แต่...
แปลก..? เธอหายไปไหนแล้ว
เร็วมากจนไม่อยากจะเชื่อว่าคนธรรมดาจะหายไปได้ฉันหันไปมองที่เบาะตรงที่เธอนั่งอีกครั้งบริเวณที่เธอนั่งมีร่องรอยเบาะเปียกชื้นแถมมีเศษดินโคลนตกอยู่เยอะมาก
เหมือนว่าเธอไปนอนคลุกดินโคลนมางั้นแหล่ะ
ฉันนั่งนึกถึงเสื้อผ้าที่เธอสวม ก็ไม่เห็นว่าจะมีร่องรอยเปื้อนแต่อย่างใดแล้วทำไม? ที่เก้าอี้ตรงเบาะที่นั่งถึงมีเศษดินโคลนเต็มไปหมดได้นะ บางที่หากมีเปื้อนโคลนก็แห้งกรังเพราะลมโบกเวลารุวิ่งฉันส่ายหัวไปมาแล้วรีบเดินไปเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดออก เพราะความที่กลัวผู้โดยสารจะขึ้นมาเห็นแล้วแจ้งไปทางอู่ว่าพนักงานไม่ดูแลความสะอาด ความไม่เรียบร้อยในด้านบริการ
รถแล่นไปถึงสนามหลวงแล้วก็วนออก รอบนี้มีคนขึ้นมาแค่สองสามคนฉันเก็บค่ารถฉีกตั๋วส่งให้แล้วก็เดินบ่นไปด้านหน้าก่อนนั่งที่เบาะยาวใกล้กับพี่เวกคนขับหนีไม่พ้นเรื่องที่มีเศษดินโคลนตกตรงที่นั่งเบาะหลังเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเพราะผู้โดยสารสองคนนั้นนั่งด้านหลังแต่ไม่ใช่เบาะยาวด้านหลัง
เราพูดคุยกันต่ออีกหลายเรื่อง ก็พอดีกับผู้โดยสารสองคนนั้นลงก่อนที่จะถึงสำนักงานเขต
“โอ้ย..รถติดอะไรวะ เวลาแบบนี้ยังจะมีรถติดอีก?”พี่เวกโวยวายมาเลย
“สงสัยรถคงจะชนกันอีกแล้วละนะพี่เวก”
“อืม ข้าก็ว่างั้น..กลอยเอ็งลงไปดูสิ ข้างหน้ามันติดอะไรวะ”
ฉันพยักหน้ารับคำ วางกระบอกเก็บเงินไว้หน้ารถแล้วเดินลงบันไดไปตามที่พี่เวกบอก
ข้างหน้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ อย่างที่เราสองคนสงสัยและมีรถร่วมกตัญญู รถพยาบาลและรถตำรวจจอดอยู่หลายคัน ข้างทางก็มีบรรดารถมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดเรียงรายเพื่อสังเกตการณ์เลยทำให้รถติด
ฉันเดินเข้าไปเรื่อยๆ แหวกฝูงชนเข้าไปทีละนิด ถึงได้เห็นว่ามีกระดาษหนังสือพิมพ์ปิดหน้าศพที่นอนอยู่ตรงนั้นไว้บรรดาไทยมุงก็ยืนดูหลายสิบคน สาเหตุของรถที่ติดในคืนนี้
ฉันกะว่าจะยืนดูอีกสักหน่อย เมื่อพี่เวกรถเคลื่อนมาใกล้ๆแล้วค่อยขึ้น
สายลมเย็นๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาพัดโชยขึ้นมาทำให้กระดาษเปิดและปลิวออกไปนั่นทำให้ฉันเห็นว่าผู้ที่นอนอยู่นั่นมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
ฉันเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เพราะรู้สึกคุ้นๆกับร่างที่นอนเหยียดยาว
แต่ทว่า...ก่อนที่จะปล่อยเสียงใดๆ ให้ลอดออกมานั้น ฉันรีบยกมือขึ้นอุดปากตัวเองแน่นขาเขอสั่นแทบจะยืนไม่อยู่ จิตใจหายร่างเบาโหวงเหวง เหมือนยืนไม่ติดพื้น
อุ๊บ...!
ให้ตายเถอะ..คนที่นอนเสียชีวิตอยู่นั่นเป็นคนๆ เดียวกันกับน้องสาวที่นั่งรถมาเมื่อสักครึ่งชั่วโมงที่แล้วเธอยังพูดคุยกับฉันอยู่เลย แล้วตอนนี้..?เธอมานอนตายข้างทางแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน
ความสงสัย ทำให้ฉันเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูจนได้ความมาว่า
หญิงสาวโดนข่มขืนแล้วถูกฆ่าหมกพงหญ้าข้างทางบังเอิญมีรถผ่านมาและเห็นผู้หญิงวิ่งตัดหน้ารถจนทำให้เขาหักหลบกระทันหันก่อนจะแฉลบออกไปหยุดพงหญ้ารกอย่างใจหายใจคว่ำข้างทางเพื่อนอาสาลงไปดูก่อนจะเจอศพ และรีบโทรแจ้งตำรวจให้มาที่เกิดเหตุเพื่อตรวจดูสภาพศพคาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง
ฉันฟังแล้วขนลุกชูชันไปทั้งตัวเมื่อนึกถึงใบหน้าของเธอผู้โชคร้ายที่หล่อนและพี่เวกส่งให้เธอลงหน้าสำนักงานเขต
‘ฉันได้คุยกับเธอด้วยน่ะสิ’
ว่าแล้วฉันก็รีบวิ่งขึ้นรถทันทีเมื่อพี่เวกเคลื่อนมาใกล้ๆฉันเล่าให้พี่เวกฟังอย่างใจสั่นๆ พี่เวกทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อจนฉันบอกให้จอดข้างทางแล้วลงไปดูเองเลยให้เห็นกับตา
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่เราเจอจะเป็นผี โอ้ย..!พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกช้างทีเถอะ พรุ่งนี้สงสัยต้องตักบาตรแต่เช้าแล้วล่ะ”พี่เวกพูดออกมา
พอออกเวรมาเช้านั้นฉันก็เข้าวัดทำบุญถวายสังฆทานให้เธอคนนั้น แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักก็เถอะแต่ทุกครั้งที่หลับตา ใบหน้าหวานคมคายก็ลอยเด่นอยู่ความรู้สึกของฉันตลอด
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง
พลอยตะวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น