แอ๊ด....
“นักเรียน..ตรง”
เมื่อประตูเปิดออกเสียงหัวหน้าห้องบอกให้ทุกคนทำความเคารพเมื่อคุณครูประจำชั้นเข้ามา วีรนุชมองดูเพื่อนๆด้วยรอยยิ้มก่อนจะค้อมศีรษะลงเป็นการทักทายอย่างมีไมตรีเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ พากันมองมาทางหล่อน
“สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ฉันวีรนุช สุวะกุล ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”หญิงสาวแนะนำตัวเองพร้อมทั้งมองไปรอบๆห้องด้วยความฉงน
เมื่อมองไป บรรยากาศในห้องเรียนยามเช้าๆ ทำไมมันมืดๆ ทึมๆพิกล
เออ จริงสินะ..ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนนี่
โตะที่ ๔ริมหน้าต่างยังว่างอยู่ ‘นั่นจะใช่โต๊ะของฉันรึเปล่านะ? ’
“อ้าว..หัวหน้าห้อง ไหนว่ามีโต๊ะว่างไง? ”เสียงอาจารย์ประชั้นดังขึ้น
“เอ๊ะ..! ”ฉันเริ่มสงสัยขึ้นทันที
“ให้ใครไปยกโต๊ะที่โรงยิมมาหน่อยซิ”อาจารย์สั่งหัวหน้าห้องอีกครั้งแทนที่จะรอคำตอบ
หัวหน้าหันมองและชี้นิ้วไปที่เพื่อนสามคนใกล้ๆ
ทั้งสามหายไปไม่นาน กลับมามีโต๊ะและเก้าอี้ติดมือมาด้วย
“วางไว้แถวกลางหลังสุด..ตรงนั้นแหละ”อาจารย์ชี้มือไปตรงจุดที่จะวางโต๊ะ
‘สายตาสั้นแบบฉันต้องนั่งหลังสุดรึ? เฮ้อ..เวรกรรม’
ครืด..
เมื่อเดินมาตรงโต๊ะ มือก็ลากเก้าอี้ที่นั่งเข้ามาชิดโต๊ะแล้วสายตาของก็ยังอดจะชำเลืองไปทางโต๊ะที่ว่างริมหน้าต่างตัวนั้นไม่ได้ เด็กคนที่นั่งโต๊ะนั้นคงจะขาดเรียนเช่นเคย
เย็นวันนั้นฉันลงจากรถรับส่งเดินเข้าบ้านด้วยความหิวเห็นอาหารว่างเป็นขนมแคร็กเกอร์กับน้ำส้มปั่นในตู้เย็นที่
คุณแม่ทำไว้ให้ระหว่างที่รอคุณพ่อฉันก็คว้าใส่ปากไปหนึ่งชิ้น แล้ววางกระเปาลงยกมือไหว้คุณแม่ก่อนแหมะก้นลงนั่งบนโต๊ะ
“เป็นไงจ้ะ? โรงเรียนใหม่”คุณแม่ถามทันทีที่เห็นฉันก่อนจะก้มหน้าล้างจานต่อ
“ก็ดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร”ฉันหิวเคี้ยวไปด้วยตอบท่านไปด้วยแม้จะไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก
“อีกไม่นานก็คงมีเพื่อนใหม่”คุณแม่ปลอบ
“หนูไปทำการบ้านนะคะคุณแม่”บอกขอตัวเข้าห้องเมื่ออิ่มแล้ว
ท่านไม่พูดอะไรฉันก็เดินตัวปลิวไปนั่งจัดตารางสอนของพรุ่งนี้แล้วทำการบ้านที่ได้มาจากอาจารย์นิดหน่อยก็อาบน้ำรอคุณพ่อกลับเหมือนทุกวันที่เคยทำ
----------------------------------------------
วันรุ่งขึ้นฉันอาบน้ำนั่งรอรถของทางโรงเรียนมารับที่โต๊ะหินหน้าบ้านก่อนเวลา เพราะยังกะระยะเวลารถมาไม่แน่นอนนัก
ระยะเวลาในการอยู่บนรถโรงเรียนเมื่อถึงที่ก็เป็นเวลาที่ทุกคนต้องเข้าแถวเคารพธงชาติในช่วงเช้าๆ เหมือนที่อื่นทั่วประเทศ และเริ่มเข้าที่เข้าทาง
วันนี้มีเรียนไม่หนักมาก สบายๆ กับภาษาไทย และเลขคณิตฉันก็ยังอดมองไปที่โต๊ะตัวนั้นไม่ได้ เจ้าของโต๊ะนั้นไม่มาตั้งหนึ่งอาทิตย์แล้วหรือว่าเขาจะไม่สบายนะ? แต่ก็แปลก ผ่านมาตั้งหลายวันป่านนี้ยังไม่มาอีกเหรอ?
หรือว่าพักการเรียน...
ไม่อยากเชื่อเลย..!
๑ คน ๒ คน ๓ คน ๕.๖.๗....๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๓ ๓๔
‘๓๕ รวมฉัน ๓๕ คนพอดีนี่ ก็ครบ ๓๕ คนแล้วนี่นา แล้วโต๊ะนั้นล่ะ?แปลกจริง ก็ได้ยินมาว่า “ห้องละ ๓๕ คนนี่?’หญิงสาวนั่งคิดวนไปเวียนมาอย่างสงสัย จนโรงเรียนเลิก
หล่อนเดินลงมารถที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงเรียนตรงนั้นจะมีเพื่อนบางคนที่เขามีรถส่วนตัวมารับก็เล่นวอลเล่ย์บอลกัน
หญิงสาวนั่งมองเพื่อนบางคนที่อยู่ในระหว่างนั่งรอรถเหมือนกันหยิบการบ้านออกมานั่งทำเพื่อฆ่าเวลา
และหล่อนก็เพิ่งนึกได้
“อุ๋ย..! ลืม เราลืมหยิบสมุดการบ้านใต้โต๊ะมาด้วย”คงต้องวิ่งกลับขึ้นไปบนตึกเพื่อเอาสมุดก่อนรถมา
ตึก ตึก...
เมื่อไปถึงชึ้นสี่ เงียบสนิท ทุกคนลงไปด้านล่างกันหมดแล้ว ประตูห้องหน้าต่างถูกปิดสนิททั้งแถบ
แอ๊ด...
“เอ๊ะ..? ”
ประตูเปิดอ้าออกครึ่งบาน ! ใครกันอยู่ด้านในนั้นหัวใจหล่อนยิ่งปอดๆ อยู่ด้วย หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ
ข้างในห้องมืดเลือนรางเมื่อหน้าต่างทุกบานถูกปิดลง
มีเงาของคนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างตัวนั้น ฉันดีใจมากๆเธอผู้เป็นเจ้าของโต๊ะตัวนั้นกลับมาแล้ว มิน่าล่ะ ประตูถึงอ้าออกเมื่อหล่อนมาเธอคงเป็นคนเปิดไว้นั่นเอง
วีรนุชยืนมองเพื่อนที่หล่อนไม่เคยได้เจอ ตั้งแต่ย้ายมาได้แต่ทักทายกับโต๊ะและเก้าอี้แทนเท่านั้น หล่อนยิ้มอย่างยินดีจนสะดุ้งขึ้นสุดตัว..เมื่อมีมือที่วางลงบนไหล่และเสียงทักอยู่ด้านหลัง
“วีรนุช..”
หล่อนรีบหันกลับไปทันทีด้วยความตกใจ “อาจารย์ทรงภูมิ” อุทานเรียกชื่อท่านออกไป เอ่อ..หนูลืมของน่ะค่ะ”เมื่อบอกอาจารย์แล้วท่านก็เอื้อมมือกดสวิทไฟให้
“มืดออก ไฟฟ้าอยู่ตรงนี้นะ เอ้า..รีบเข้าไปหยิบเร็วเข้า”เสียงอาจารย์ร้องเตือนอีกครั้ง
“เอ๊ะ..! ก็ตะกี้ยัง..? ”ฉันหันกลับไป สายตามองหาเพื่อนที่เห็นลางๆที่ต๊ะตัวนั้นด้วยความแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือ? วีรนุช”อาจารย์ประจำชั้นถามมาอีก
“เมื่อกี้หนูเห็นคนที่นั่งโต๊ะที่สี่ริมหน้าต่างค่ะอาจารย์”เมื่อฉันพูดจบใบหน้าของท่านมีแววหวาดหวั่นฉายชัด
หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมจิตใจจึงไปพะวงกับเรื่องประตูที่เปิดอ้าไว้
“ไม่เห็นมีเลย..แล้วโต๊ะนั้นก็ว่างมาตั้งหกปีแล้วนะ”เมื่อบอกแล้วอาจารย์ก็หันหลังกลับ อาจารย์เตรียมจะเดินออกไปทันที ฉันรีบวิ่งเข้าไปที่โต๊ะ มือคว้าสมุดวิ่งตามลงมาอย่างรีบร้อน
หกปี...ทำไม !?
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
เงาบุหงา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น