Translate

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตื่น..


ตื่นจากมายาฝันวันสมมุติ
ส่งพิสุทธิ์จากใจแด่ไทยผอง
ฤารอให้แผ่นดินเดือดเลือดไหลนอง
แล้วจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง

โอ้ละหนอมวลมนุษย์สุดวิปลาส
บ้าอำนาจหลงตัณหาอย่างบ้าคลั่ง
กิเลสโลกย์โศกสุขใดไหนจีรัง
ไกลจากฝั่งรู้ทั่วทิ้งชั่วดี

หลับใหลในวนวังสังสารวัฏฏ์
กลางรกชัฏกรรมวิบากยากหลีกหนี
อสงไขยอนันตชาติต้องบัดพลี
รอปฐพีสูบเจ้าเข้าโลกันตร์

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

***ไม่มีวันลืม***



/ด้วยแรง แห่งความคิดถึง
ด้วยซึ้ง จึงต้องนั่งเศร้า
ด้วยใจ ผูกพันสองเรา
ด้วยเหงาระทมเดียวดาย

/จึงบอกออกไปให้รู้
ใจน้องเฝ้าดูไม่หาย
ฝากรักจากใจใช่คลาย
มิเคยเสียดายสักวัน

/แม้อยู่แห่งไหนในโลก
จะโอบลมโบกปลอบขวัญ
มีเธอ มีฉันเคียงกัน
ร่วมสุขร่วมฝันทุกคืน

ส่งรัก



ฉันเข้าใจในรักที่ถักส่ง
นำวางตรงหน้าตาแสนเศร้า
ต่อจากนี้สิ้นหวังจะยั้งเงา
หรืออย่างไรกันเล่าที่กล่าวมา

ใครจะลืมความหลังที่พลั้งฝา
ใครกันที่มาพรากจากใบหน้า
ใครกันหรือที่ลืมคำสัญญา
ใครกันที่ไม่มาหาสักที

คำที่ฝากสายลมมาห่มให้
รับรู้ทั้งดวงใจใครคนนี้
งั้นต่อไปรักเราไร้ราคี
จะไม่หันหน้าหนีพี่อีกเลย

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๗*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

“เราจะเริ่มละนะวีรนุช ทำตามฉันนะ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นห้ามเอามือออกจากเหรียญเข้าใจนะ”ศิลาเตือนความจำให้ เพื่อนอีกรอบ ก่อนจะใช้นิ้วแตะไปที่เหรียญ และวีรนุชก็เอามือแตะตามอย่างว่าง่าย













“ท่านวิญญาณ หากท่านอยู่แถวๆ นี้ ขอเชิญมาสถิตยังเหรียญนี้ด้วยเถิด”
สิ้นคำของศิลาก็ไม่มีอะไร แสงเทียนยังคงส่องแสงสว่างนวลตา

กึก..

คุณพระช่วย!  เหรียญเริ่มหนักทั้ง ๆ ที่หล่อนและศิลาเพียงแค่แตะไว้เฉยๆ

“อุ๋ย..! ขยับแล้ว มันเคลื่อนที่แล้ว” เสียงของรตากับปภาวดีที่จดจ้องร้องบอกเบาๆ

“เป็นไปได้ยังไงกัน?”วีรนุชเอ่ยออกมาบ้าง

“จุ๊ๆ เงียบ”ศิลาดุเบาๆ

รตาและปภาวดีต้องรีบกลืนคำที่อยากเปล่งออกมา ส่วนวีรนุชเหงื่อตกใบหน้าเริ่มถอดสี

“กรุณาตอบคำถามของพวกเราด้วยเถอะ” ศิลาวิงวอน “ท่านเป็นวิญญาณคนหรือไม่”
คนทั้งสี่กลั้นใจรอคำตอบ สักครู่เหรียญเริ่มขยับพานิ้วทั้งสองไปตามช่อง

“ใช่”

รตาหันหลังมองกลับไปยังประตู ขณะนั้นแดดอ่อนเริ่มเปลี่ยนเป็นแดดผีตากผ้าอ้อมแล้ว ความวังเวงเริ่มปกคลุมไปทั่วห้อง ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่เดิม


“เป็นคนไทยหรือเปล่า?”ศิลาถามต่อ

เหรียญลากไปที่ช่อง“ใช่”

“เป็นหญิงหรือชาย? ”ศิลาถามต่ออีก

เหรียญลากทั้งสองไปที่ตาราง  หญิง

“อายุเท่าไหร่?”สิ้นคำของศิลาเหรียญเริ่มขยับเร็วขึ้น และลากไปที่เลข ๑ กับเลข ๗

“อะไรกัน ! ๑๗ ปีเองรึนี่ แล้วชื่ออะไรล่ะ? ”เหรียญขยับเร็วเมื่อพทั้งสองไปที่ช่องอักษร

บนแผ่นตารางทีล่ะตัว

“นิลนาถ ปานน้อย”ศิลาอ่านตามที่รตาจดให้ท่ามกลางแสงเทียนเงียบๆ

“ใช่”ฟังคำตอบนั้นแล้วทุกคนมองหน้ากัน

ทว่า! ยังไม่ทันจะถามต่อ เหรียญก็เริ่มขยับ

“เหรียญมันขยับเอง”

วีรนุชตกใจกับภาพตรงหน้า สายตาจับจ้องไปที่เหรียญ ที่ศิลากับหล่อนวางนิ้วลงด้วยกัน แล้วลากพาไปโน่นมานี่ตามอำเภอใจ

รตากับปภาวดีก็ตั้งหน้าตั้งตาจดอักษรตามอย่างระทึก

“ฉันเหงา ฉันอยากมีเพื่อน”เหรียญยังขยับบอกไปเรื่อย

“เหงาหรือ? ”ศิลาทวนถามด้วยใบหน้าซีดเผือด

“เพื่อน เพื่อน! ”เหรียญขยับต่อ

วีรนุชทำตาโต เหงื่อชุ่มมืออีกข้าง ใจเต้นเหมือนกลองมารัวในอกไม่แพ้เพื่อนสองคนนัก

“เพื่อน เหงา หมายความว่าไงกัน?”วีรนุชกระซิบถามศิลาที่เงยหน้ามองสบตามาพอดี

“ไม่รู้สิ”คำตอบกลับมานั้นก็งุนงงไม่ต่างกัน  “ท่านนิลนาถ ท่านตายมากี่ปีแล้วล่ะ”ศิลาถามด้วยความอยากรู้

เหรียญขยับไปตามคำถาม  “๖  ปีแล้ว  ตั้งแต่วันที่  ๖ เดือนตุลา”

“ทำไมถึงตายล่ะ ในเมื่ออายุท่านยังน้อยนัก แค่  ๑๗ เอง”ปภาวดีถามมั่ง

เหรียญพาไปที่อักษร  “ป่วย”คราวนี้เหรียญเริ่มขยับช้าลง  “ที่นี่”

เมื่อเหรียญหยุดตรงอักษรคำนั้น ทั้งหมดก็ต่างเงยหน้าขึ้นจ้องมองกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

ตุบ ตุบ

เสียงฝีเท้าใคร?

ปัง...

ประตูถูกกระชากปิดอย่างแรง

“โอ๊ะ!.”

เสียงอุทานดังมาจากริมฝีปากบางของวีรนุช ที่แทรกมาพร้อมกับประตู แสงสลัวของเทียนไขที่สาดส่อง ทำให้รู้สึกเหมือนมีเงายืนทาบอยู่กับแผ่นหลัง ความยะเยือกเริ่มเกาะกุมหัวใจ ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ไร้สรรพเสียงใดๆ จะมีก็เพียงแค่ลมหายใจของทั้งสี่คนเท่านั้น

หญิงสาวพยายามตั้งสติให้มั่นคง

“ไม่ต้องตกใจนะ แค่เสียงธรรมดาน่ะ มักจะเกิดขึ้นในที่ที่มีวิญญาณอยู่เสมอ”ศิลากระซิบบอกเพื่อนเบาๆ ก่อนจะละสายตาไปที่เหรียญ

“เสียงฝีเท้าที่ดังด้านนอกนั่นเป็นท่านใช่ไหม? ”ศิลาถามต่อ

เหรียญขยับไป  “ใช่”แต่ยังขยับต่อไปแม้ไม่มีคำถาม

“นิลนาถ วีรนุชเพื่อนของฉัน”เหรียญขยับไปตามอำเภอใจ

“เพื่อนเหรอ? ละ แล้วทำไมต้องเป็นฉันล่ะ”ใบหน้าวีรนุชถอดสีจนซีดเผือด ขาเริ่มสั่น ประสาทเริ่มตึงเครียด เขม็งเกลียวขึ้น เส้นขมับปูดโปนจนเต้นระริกด้วยความกลัว

“หรือว่า..ท่านคิดจะครอบครอบร่างกายของวีรนุช?”ศิลาตั้งสติได้ถามต่อ  และเหรียญก็ลากไปที่อักษร

กึก..!

“ใช่”

“ว๊าย  !”เสียงของวีรนุชเปล่งออกมาด้วยความตกใจอีกรอบ

“เงียบๆ อย่าเอานิ้วออกนะ”ศิลากำชับเสียงเครียด อกใจระทึกไปหมดกับคำตอบกลับมา  “ทำไม เพราะท่านเหงาหรือ?”

เหรียญเริ่มลากไปอีก  “ใช่”

“ท่านต้องการตัววีรนุชเหรอ?”ศิลารุก

แต่...ต้องชะงัก เมื่อวีรนุชตะโกนและทะลึ่งร่างลุกพรวดขึ้นอย่างเร็ว เหมือนเป็นการให้ระงับทุกสิ่งลง ร่างกายนั้นสั่นสะท้านเหมือนลูกนกต้องลมหนาว

รตากับปภาวดียกมือปาดเหงื่อที่ชื้นตามหน้าผาก แล้วจ้องมองวีรนุชที่ยืนหอบจนตัวโยนด้วยความตกใจ

ทันใดนั้น...

ผลัวะ...?



โปรดติดตามตอนต่อไป
เงาบุหงา

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๖*****
















“ช่วยบอกฉันหน่อย  ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”

วีรนุชถามอย่างร้อนใจ ใบหน้าส่อแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“บอกเขาไปเถิดหัวหน้า”รตาที่เดินตามปภาวดีมาอีกคนออกความเห็น

“ฮืม..ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้หรอก เคยแต่ได้ยินมาว่า เมื่อหลายปีก่อน มีนักเรียนตายที่นี่ หลังจากนั้นก็เกิดอะไรตามมาแปลกๆ เสมอ”ปภาวดีหยุดเล่าต่อ ก่อนจะสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ด้วยสีหน้าท่าทางหวาดหวั่น ใบหน้าซีดนิดๆ เมื่อเห็นบรรยากาศรอบๆห้องอาบน้ำมัวๆ

“อย่างที่โต๊ะริมหน้าต่าง พอถึงชั่วโมงที่หกที่ไร คนที่นั่งโต๊ะตัวนั้น ก็จะถูกมือลึกลับแตะที่บ่า บ้างก็ดึงผมและหยิกบนผิวจนแสบจี๊ดและสะดุ้งลุกขึ้นอย่างลืมตัว เลยไม่ค่อยมีใครนั่งตรงนั้น ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ โต๊ะตัวนั้นก็ว่างอยู่แล้ว”ปภาวดีพูดตามที่ตัวเองเจอและเห็น จนวีนุชเข้าใจ

ว่างตั้ง  ๖ ปีแล้ว

อา..อย่างนี้นี่เอง

“อาจารย์แต่ละท่านต่างก็ปิดปากเงียบ”ปภาวดีเล่าต่อ และหันมาจ้องหน้าหล่อนตรงๆ

“เธอเชื่อเรื่องผีไหม? ”ปภาวดีหยั่งเสียงถามออกไป

“ผีเหรอ? ฮื่อ  ! ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน โรงเรียนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ โต๊ะที่  ๔ ริมหน้าต่างตัวนั้น”วีรนุชพึมพำออกมาและตั้งข้อสงสัย

อากาศเริ่มเย็นไปทั่วบริเวณห้องมัวๆ แห่งนั้น จนทำให้รตาเดินเข้าไปเกาะแขนปภาวดีแล้วจับไว้แน่นอย่างหวาดๆ

“เราออกไปจากห้องนี้ก่อนดีไหม? ”รตากระซิบกับเพื่อนทั้งสองและได้รับการตอบรับทันที
วีรนุชคว้าเป้ขึ้นใส่บ่าเดินตามเพื่อนๆ มาติด แต่ก็อดเสียวสันหลังไม่ได้

------------------------------

เมื่อออกมาที่ลานกว้างหน้าตึกอาบน้ำ ปภาวดีกระซิบบอกเพื่อน  “ที่ห้องบี มีเพื่อนสัมผัสกับวิญญาณได้ บางครั้งเขาฝัน และความฝันของเขาก็เป็นความจริงด้วยนะ”

“เธอสองคนรู้จักผีถ้วยแก้วหรือเปล่า เคยเล่นไหม? ถ้าเราไปหาศิลาแล้วให้เธอพาทำ จะมีวิญญาณมาที่ถ้วยแก้วทุกครั้งนะ”รตาพูดถึงเพื่อนที่สัมผัสวิญญาณคนนั้นด้วย

“จริงด้วย ลองให้ศิลาพาเล่นผีถ้วยแก้วสิ เผื่อพวกเราจะได้รู้เรื่องอะไรมากขึ้นไง”ปภาวดีเห็นด้วยทันที ทั้งสองมองไปที่วีรนุช จึงเห็นว่าเพื่อนมีท่าทางคิดหนัก ก่อนจะพยักหน้า

“งั้นตอนเลิกเรียน เราค่อยไปหาเธอกัน ตอนนี้รีบกลับเข้าห้องเรียนก่อนแล้วกัน วีรนุชเธอก็กลับไปนั่งที่ตะหลังสุดแถวกลางก่อนนะ ไป”ปภาวดีสรุปแล้วเดินนำเพื่อนทั้งสองเข้าห้องเรียน

๑๕.๓๐  น ที่ห้องบีตึกชั้นสอง

เมื่อเลิกเรียน ทั้งสามก็เดินลงไปที่ชั้นสอง ก็เห็นว่าเพื่อนเพิ่งจะหยิบกระเป๋าเตรียมตัวกลับ ปภาวดียกมือห้ามเพื่อนให้หยุดรอ แล้วตัวเองก็เดินไปหาศิลาเพื่อนต่างห้อง

“เฮ..ศิลาหวัดดีจ้ะ เรามีเรื่องรบกวนหน่อยนะ”ปภาวดีร้องทักทายเพื่อนด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วยืนคุยกันเบาๆ สายตาของศิลามองมาที่วีรนุชบ่อยครั้งในระหว่างนั้น

สักครู่..ทั้งสองก็เดินกลับมาที่รตาและวีรนุชยืนอยู่

“หวัดดีวีรนุช ฉันศิลา พงศ์เพชร ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”ศิลาแนะนำตัวเองกับวีรนุชหลังจากที่พอทราบเรื่องจากปากเพื่อนมาแล้ว

“เช่นกันจ้ะ”วีรนุชยิ้มตอบรับไมตรี

“เราไปที่ห้องเกิดเหตุกันเถอะ”ศิลาชวนทั้งสาม และปภาวดีพยักหน้าพร้อมเดินนำ
เมื่อมาถึงหน้าห้องเงียบสนิท บรรยากาศรอบๆ แดดอ่อนๆ ขุ่นๆ ปภาวดีเปิดประตูห้องออก ข้างในมือสนิทเมื่อปิดหน้าต่างทุกบาน ศิลาล้วงมือหยิบเทียนไขในถึงกระดาษที่หิ้วออกมายื่นส่งให้เพื่อน

“ระยะหลังๆ มานี่ ฉันรู้สึกกลัว เลยไม่ค่อยได้เล่นเท่าไหร่”ศิลาออกตัวกับเพื่อน

“แล้วเราจะเรียกกันที่ตรงจุดไหนดีล่ะศิลา? ”ปภาวดีหันมาถามเมื่อจุดเทียนแล้วพาเพื่อนๆ เดินเข้าไปด้านใน

“ที่โต๊ะ  ๔ ริมหน้าต่างไง”ศิลาเสนอ

ทั้งสามคนตกใจ ใบหน้าซีดเผือด ต่างหันมามาองหน้ากันโดยไม่ได้นัด ยิ่งวีรนุชด้วยแล้ว รายนี้ถึงกับอ้าปากกว้างค้างเติ่งอยู่อย่างไม่คาดคิด เมื่อเพื่อนชี้นิ้วไปที่โต๊ะตัวนั้น

“เงียบดี เลิกเรียนแบบนี้ ไม่มีใครอยู่นี่ล่ะดีมาก เดี๋ยวพอเสร็จแล้วฉันจะไปส่งทุกคนเอง”ปภาวดีบอกเพื่อนๆ

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

***ดวงตาอาฆาต ๕***














รุ่งเช้าอีกวัน ที่ห้องเรียน

วันนี้วีรนุชรีบมาแต่เช้าเพื่อจะได้นั่งจดและทบทวนการเรียนของเมื่อวาน จากสมุดที่ปภาวดีเอื้อเฟื้อเตรียมไว้ให้ ในระหว่างนั่งอ่านและทบทวนนั้น เพื่อนๆคนอื่นๆ ก็ทยอยเดินเข้าห้องมาเรื่อยๆ
สักครู่ ก็เงยหน้าขึ้นดูเพื่อนๆ ที่ต่างก็จัดการกับโต๊ะของตัวเอง บางคนหยิบหนังสือเรียนออกมาเตรียม

หากย้ายกลับที่เดิม ทุกคนจะรู้หรือเปล่านะ?

วีรนุชนั่งครุ่นคิดไปด้วยสีหน้ากังวล ถามเองตอบเองอยู่คนเดียว

บ้าจังเลย เป็นอะไรรึเปล่านะเรา ขืนบอกใครไป เขาคงจะหัวเราะเอาแน่ๆ

ส่ายศีรษะแรงๆ ก่อนจะก้มลงเก็บสมุดที่จดเสร็จแล้ว เดินนำไปส่งคืนปภาวดีหัวหน้าชั้นที่เพิ่งจะมาถึงหวุดหวิด ไล่ๆ กับอาจารย์ที่เดินตามเข้ามาพอดี

“นักเรียนตรง ทำความเคารพ”

เสียงดังฟังชัดกับหน้าที่ที่ได้รับ วิชาแรกของวันก็เริ่มขึ้นด้วยความสงบและผ่านไปด้วยดี
เมื่อพักเที่ยงวันนั้น วีรนุชทานอาหารตามปรกติกับเพื่อนๆ น่าแปลก ที่ไม่มีใครถามถึงเรื่องเมื่อวานสักคน ทุกคนทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องอย่างนั้นแหล่ะ และวีรนุชก็ไม่สนใจเหมือนกัน แต่กลับรู้สึกดีเสียอีก ที่ไม่ต้องมานั่งตอบและเล่าในสิ่งที่อาจจะไม่มีใครเชื่อ ดีไม่ดีทุกคนจะหาว่าบ้าเสียเปล่าๆ

ช่วงบ่ายวันนี้ เป็นวิชาวอลเลย์บอล ตามด้วยว่ายน้ำ โชคดีมากที่วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ และฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตกเหมือนเมื่อวาน

อาจารย์เอกสิทธิ์ที่สอนวิชาพละก็หล่อเท่ระเบิดมาด้วยเสื้อทีเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาสั้นเข้าชุดทีเดียว
เมื่อลงไปที่สนาม อาจารย์ก็ให้เราแยกกันเป็นสองกลุ่มเช่นเคย แล้วสลับคนตบจากอาทิตย์ที่แล้วให้รอสำรอง ให้คนที่สำรองจากอาทิตย์ที่แล้วลงมาตบแทน ที่เหลือนั้นระหว่างรอก็ตบเล่นกันไป

ปี๊ดดด...

เสียงนกหวีดดังเป็นสัญญาณหยุด“เอาล่ะนักเรียน  พอแค่นี้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างช่วยกันคนล่ะไม้ละมือเก็บลูกใส่ตะกร้านำไปเก็บที่ห้องพักจนเรียบร้อยดีแล้ว ทุกคนก็กลับเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าตามปรกติ ก่อนจะกลับไปรวมตัวกันที่ห้อง เพื่อต้อนรับคุณครูวิชาต่อไป

------------------------
“นักเรียนตรง ทำความเคารพ”

เมื่ออาจารย์วิมลเดินเข้ามาในห้อง สายตาจ้องมองมาที่โต๊ะ  ๔ ริมหน้าต่าง วีรนุชเห็นได้ชัดเจนว่าใบหน้าของท่านถอดสีซีดเผือด ปากอ้าค้างอยู่เป็นครู่ ก่อนจะเดินไปยืนหน้ากระดานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“นักเรียนไปเปลี่ยนชุดนะ เมื่อเสร็จแล้วก็ลงไปพบกับครูที่สระ”เท่านั้นท่านก็เดินออกไป“

อ้อ..อย่ามัวโอ้เอ้กันล่ะ ชั่วโมงเรียนน้อยๆ อยู่”ยังหันมากำชับอีกรอบ

วีรนุชและเพื่อนๆ คว้าเป้และกระเป๋าได้ก็เดินตามออกไปที่ห้องเปลี่ยนชุดทันที

ทุกคนเดินลงไปสมทบกันที่ขอบสระตามเวลาที่คุณครูบอก อากาศตอนนี้ไม่มีแดดให้แสบผิว แสนสบายตา แต่พอใช้เท้าไล้น้ำที่ล้นขอบลงท่อทิ้งดู แหม..มันเย็นจับขับขั้วหัวใจเหมือนกัน

คุณครูทำสัญญาณให้ลงสระได้ และคอยยืนคุมอยู่รอบๆ อย่างใกล้ชิด

รตาลงสระด้วยการกระโดดลงจากแผ่นกระดานข้างขอบด้วยท่วงท่าสวยงาม

คนอื่นๆ ก็ว่ายตามท่าที่ชอบ วีรนุชไม่ได้ออกไปว่ายกลางสระตามเพื่อนๆ บางคน แต่เลือกเดินวาดแขนขาตรงช่วงน้ำตื้นแทน

เมื่อเวลาใกล้จะหมดคุณครูก็ส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงนกหวีดอีกครั้ง

ปี๊ดดด....

“เอาละ  ทุกคน หมดชั่วโมงเรียนแล้วจ้ะ”ครูวิมลบอกทั้งสายตามองดูนักเรียนทยอยกันขึ้นจากสระจนครบ  “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมลงวิชาต่อไปได้เลยนะ”

เสียงเจี้ยวจ้าวดังขึ้นที่ห้องแต่งตัว บางคนก็กระเซ้าเย้าแหย่กันเป็นที่สนุกสนาน ใบหน้ายิ้มแย้ม คนไหนเสร็จแล้วก็นั่งใส่ถุงเท้าต่อตรงนั้น

“นี่ๆ ทุกคนต่อไปเป็นชั่วโมงเคมีของคุณครูประเวชนะ อย่าช้าล่ะ”เสียงรตาร้องเตือนอย่างห่วงๆ

“นั่นสิ..งั้นเราไปก่อนนะ”เสียงโต้ตอบกันระหว่างเพื่อนๆ ทำเอาวีรนุชใจหายวาบ

ชั่วโมงที่หกอีกแล้วรึ?

แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร มือก็รีบใส่เสื้อและกระโปรงอย่างเร่งด่วน..

เพราะ..เพื่อนต่างก็ทยอยกันเดินออกไปเรื่อยๆ

จนกระทั่ง

‘ว๊าย..เหลือเราคนเดียวรึนี่ โอ้ยยายวี มัวแต่อืดอาดอะไรอยู่นี่..’นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ มือก็ล้วงเข้าไปที่ในเป้ หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมาแล้วเดินตรงไปที่ก๊อก จ่อหัวเข้าที่อ่าง มือก็เอื้อมไปหมุนวาวให้น้ำไหลลงผ่านเส้นผม ใจก็คิดไป

‘ต้องรีบหน่อยล่ะ’

น้ำที่เปิดดังซ่า ซู่กลบสรรพเสียงรอบด้านหมด มือไขว่คว้าขวดแชมพูมาเทใส่มือขยี้จนมีฟองเต็มหัว วีรนุชหลับตาลงใช้มือไล้ไปทั่วๆ เพื่อล้างให้ฟองหมดไป

เอ๊ะ  ! เสียงคนเดิน..

*****ดวงตาอาฆาต ๔*****



เพียงครู่เดียว เมื่อหมดชั่วโมงเรียนของคุณครูจินตนาแล้ว

วีรนุชก็หยิบสมุดพกออกมาจากกระเป๋า เพื่อจดบันทึกประจำวันเก็บไว้ ก่อนสายตาจะเห็นว่าหัวหน้าชั้น หรือ ปภาวดีเดินเข้ามาหาหาที่โต๊ะ

“วีรนุช เธอไม่ควรนั่งที่โต๊ะนี้นานนะ”ปภาวดีเตือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

คราวนี้วีรนุชเงยหน้าขึ้นจากสมุดพกขนาดจิ้ว

“อ้าว ทำไมล่ะ? แล้วทำไมทุกคนถึงดูซีเรียสกับโต๊ะตัวนี้นัก ”วีรนุชอดจะถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้

"เฮ้อ.”เสียง ถอนหายใจดังมาจากปากของปภาวดี ก่อนจะจับเก้าอี้ให้หันมาประชันหน้ากัน

“เอ๋..หากว่าฉันบอกกับเธอไป เธอจะเชื่อไหมนี่?”ปภาวดีพูดเหมือนถามกับตนเอง

“เอาเถอะนะวีรนุชอย่างน้อยๆ เธอก็ควรย้ายออกก่อนจะถึง ชั่วโมง ตอนบ่ายนะ”ปภาวดีย้ำอีกครั้ง

“มันจะเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ปภาวดี”วีรนุชอดถามย้ำไม่ได้เหมือนกัน แต่ปภาวดีก็ไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไปนั่งต่อที่โต๊ะของตัวเอง

วีรนุชคิดไม่ตก จนกระทั่ง หมดเวลาพักเที่ยง และเริ่มชั่วโมงเรียนตอนบ่าย

ช่วงนั้นเอง..

ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเฉยๆ

หล่อนนั่งสั่นสะท้าน มือสองข้างยกขึ้นมากอดอกเอาไว้เผื่อว่าบางทีจะทำให้ร่างกายหายสั่นได้บ้าง

เอ๊ะ ! หรือว่าเป็นหวัด? มันหนาวจังเลย แถมยังคลื่นไส้อีก

*ให้ย้ายก่อน ช ม เรียนตอนบ่ายนะ?

เสียง ของปภาวดีแว๊บขึ้นมาในสมอง วีรนุชก็ยังไม่เข้าใจ ตอนนี้ใบหน้าหล่อนคงจะซีดเซียว ส่งสายตามองกวาดไปทั่วทั้งห้อง มันช่างเงียบวังเวงราวกับป่าช้าทีเดียว แม้ว่าจะมีเพื่อนๆ นั่งเรียนอยู่ไม่ห่างนัก แต่วีรนุชก็รู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้ง ทุกคนไม่มีใครมองมาเลย

พอเข้า ชั่วโมง ที่หก อาการก็เหมือนจะรุนแรงขึ้น ใจเริ่มสั่นหวิวเหมือนจะเป็นลม เหงื่อเต็มหน้าผากมน ดวงตาล่องลอยเคว้งคว้างเหมือนไม่รับรู้สรรพสิ่งรอบข้าง

“วีรนุช”เสียงของอาจารย์นิยมเรียกเมื่อเห็นอาการผิดปรกติของลูกศิษย์

“ค๊ะ..! อาจารย์”หญิงสาวขานรับคำของอาจารย์ แต่ร่างกายและน้ำเสียงก็ยังคงสั่นจนทำให้เพื่อนๆ หันมามองเป็นตาเดียว ด้วยความหวาดหวั่นอย่างเปิดเผย

และไม่เว้นกับรตา คนที่นั่งเรียนคู่กันด้วย วีรนุชไม่สนใจอะไรแล้ว เสียงหัวใจย้ำบอกแต่คำว่า ให้อดทนอีกนิดเดียว ใกล้จะหมด ชั่วโมง เรียนแล้ว ต้องอดทนนะ อีกนิดเดียว

วีรนุชวางปากกาที่เพิ่งจับมาถือเมื่อสักครู่ลงแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้าเบาๆ

ในตอนนั้น...

ให้ตายเถอะ..!มีความรู้สึกว่ายะเยือกที่แผ่นหลัง เหมือนมีเงาของใครที่ไม่รู้จักยื่นมือมาโอบกอดเอาไว้ ทั้งเอนหัวมาซบไหล่อย่างสนิทสนม

วินาทีนั้นร่างกายก็ชะงักงัน ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทาให้ยื่นออกไปค่อยๆ แกะมือที่โอบนั้นออก

โอ้..คุณพระช่วย..! พ่อแก้วแม่แก้วจ๋า ช่วยลูกด้วยเถอะ...

มือของหล่อนที่ยื่นไปจะแกะมือนั้นออก มันจับไม่เจออะไรเลย....?

ทว่า..ความรู้สึกว่าโดนโอบกอดด้วยความรักยังแนบแน่น...

กรี๊ดด..

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กำลังใจ


*****ดวงตาอาฆาต ๓*****













ที่ห้องพักครู

“ได้ยินว่ามีเด็กเข้ามาใหม่นี่นาห้องอาจารย์จำรูญน่ะ  ใช่ไหม? ”ครูสมจิตถามออกมา นั่นทำให้บรรดาเพื่อนครูด้วยกันหันไปมองเหมือนต้องการคำยืนยัน

“เอ่อ...ครับ แหม นึกถึงขึ้นมาเลยผม ตอนนั้นก็เป็นช่วงหน้าฝนและมีเด็กใหม่เข้ามาเหมือนกัน”อาจารย์จำรูญนึกขึ้นมาทันที แต่สายตาจ้องออกมาทางประตูห้องพัก
?..ตรงนั้นมีร่างบางของวีรนุชยืนอยู่

“เอ้ย..! ”อาจารย์จำรูญยกมือขึ้นห้ามมิให้พูดด้วยน้ำเสียงอันดัง  แล้วหันไปถาม

“มีอะไรรึ วีรนุช? ”

“ค่ะอาจารย์ หนูเอาแบบสำรวจของครอบครัวมาส่งค่ะ”พูดจบก็เดินเข้าไปวางแผ่นใบสำรวจใส่บนมือของอาจารย์จำรูญก่อนจะยกมือทำความเคารพคุณครูทุกคนในที่นั้น แล้วเดินออกมา
มีเด็กเข้ามาช่วงหน้าฝนรึ? แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่...

----------------

“เอาละ  นักเรียนทุกคน หมดชั่วโมงประชุมแล้ว ใครจะถามอะไรหรือเปล่า? ”คุณครูจำรูญถาม
วีรนุชรีบยกมือขึ้น “มีค่ะคุณครู”

“ว่า..? ”

“เอ่อ..หนูขอย้ายโต๊ะไปนั่งริมหน้าต่างค่ะ”เมื่อหล่อนจบประโยคนั้น สายตาทุกคู่ต่างก็หันมามองหล่อนเป็นตาเดียว บางคนถึงกับมีใบหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด  คุณครูจำรูญใบหน้าซีดเผือดทีเดียว

“ท..ทำไมล่ะ? ครูว่ามันไม่สะดวกหรอกนะ”ครูจำรูญออกความเห็น มาในเชิงไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

“ก็หนูสายตาสั้นนี่คะ มองไม่ค่อยเห็น ขอย้ายไปนั่งที่โต๊ะนั้นไม่ๆได้เหรอคะ? ”วีรนุชถามด้วยความสงสัย

อาจารย์ประจำชั้นใช้มือดันแว่นตาให้เข้าที่  “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”  สีหน้าเหมือนยุ่งยากใจ ก่อนจะอนุญาต

“ถ้างั้นก็..ตามใจ”คุณครูเดินออกจากห้องไปพร้อมกับหล่อนที่หอบหนังสือและอุปกรณ์ย้ายไปที่โต๊ะที่ ๔ ริมหน้าต่างทันที

ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมชั้นที่มองดูอย่างระทึกแกมหวาดผวาแทน แต่ทุกคนก็ไม่มีใครปริปาก

ทุกอย่างเงียบ...สนิท

***ดวงตาอาฆาต ๒***


แอ๊ด....


“นักเรียน..ตรง”


เมื่อประตูเปิดออกเสียงหัวหน้าห้องบอกให้ทุกคนทำความเคารพเมื่อคุณครูประจำชั้นเข้ามา  วีรนุชมองดูเพื่อนๆด้วยรอยยิ้มก่อนจะค้อมศีรษะลงเป็นการทักทายอย่างมีไมตรีเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ พากันมองมาทางหล่อน

“สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ฉันวีรนุช  สุวะกุล ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”หญิงสาวแนะนำตัวเองพร้อมทั้งมองไปรอบๆห้องด้วยความฉงน

เมื่อมองไป บรรยากาศในห้องเรียนยามเช้าๆ ทำไมมันมืดๆ ทึมๆพิกล

เออ จริงสินะ..ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนนี่

โตะที่  ๔ริมหน้าต่างยังว่างอยู่  ‘นั่นจะใช่โต๊ะของฉันรึเปล่านะ? ’

“อ้าว..หัวหน้าห้อง ไหนว่ามีโต๊ะว่างไง? ”เสียงอาจารย์ประชั้นดังขึ้น

“เอ๊ะ..! ”ฉันเริ่มสงสัยขึ้นทันที

“ให้ใครไปยกโต๊ะที่โรงยิมมาหน่อยซิ”อาจารย์สั่งหัวหน้าห้องอีกครั้งแทนที่จะรอคำตอบ

หัวหน้าหันมองและชี้นิ้วไปที่เพื่อนสามคนใกล้ๆ

ทั้งสามหายไปไม่นาน กลับมามีโต๊ะและเก้าอี้ติดมือมาด้วย

“วางไว้แถวกลางหลังสุด..ตรงนั้นแหละ”อาจารย์ชี้มือไปตรงจุดที่จะวางโต๊ะ

‘สายตาสั้นแบบฉันต้องนั่งหลังสุดรึ?  เฮ้อ..เวรกรรม’

ครืด..

เมื่อเดินมาตรงโต๊ะ มือก็ลากเก้าอี้ที่นั่งเข้ามาชิดโต๊ะแล้วสายตาของก็ยังอดจะชำเลืองไปทางโต๊ะที่ว่างริมหน้าต่างตัวนั้นไม่ได้  เด็กคนที่นั่งโต๊ะนั้นคงจะขาดเรียนเช่นเคย

เย็นวันนั้นฉันลงจากรถรับส่งเดินเข้าบ้านด้วยความหิวเห็นอาหารว่างเป็นขนมแคร็กเกอร์กับน้ำส้มปั่นในตู้เย็นที่

คุณแม่ทำไว้ให้ระหว่างที่รอคุณพ่อฉันก็คว้าใส่ปากไปหนึ่งชิ้น แล้ววางกระเปาลงยกมือไหว้คุณแม่ก่อนแหมะก้นลงนั่งบนโต๊ะ

“เป็นไงจ้ะ? โรงเรียนใหม่”คุณแม่ถามทันทีที่เห็นฉันก่อนจะก้มหน้าล้างจานต่อ

“ก็ดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร”ฉันหิวเคี้ยวไปด้วยตอบท่านไปด้วยแม้จะไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก

“อีกไม่นานก็คงมีเพื่อนใหม่”คุณแม่ปลอบ

“หนูไปทำการบ้านนะคะคุณแม่”บอกขอตัวเข้าห้องเมื่ออิ่มแล้ว

ท่านไม่พูดอะไรฉันก็เดินตัวปลิวไปนั่งจัดตารางสอนของพรุ่งนี้แล้วทำการบ้านที่ได้มาจากอาจารย์นิดหน่อยก็อาบน้ำรอคุณพ่อกลับเหมือนทุกวันที่เคยทำ

----------------------------------------------

วันรุ่งขึ้นฉันอาบน้ำนั่งรอรถของทางโรงเรียนมารับที่โต๊ะหินหน้าบ้านก่อนเวลา เพราะยังกะระยะเวลารถมาไม่แน่นอนนัก

ระยะเวลาในการอยู่บนรถโรงเรียนเมื่อถึงที่ก็เป็นเวลาที่ทุกคนต้องเข้าแถวเคารพธงชาติในช่วงเช้าๆ เหมือนที่อื่นทั่วประเทศ และเริ่มเข้าที่เข้าทาง

วันนี้มีเรียนไม่หนักมาก สบายๆ กับภาษาไทย และเลขคณิตฉันก็ยังอดมองไปที่โต๊ะตัวนั้นไม่ได้ เจ้าของโต๊ะนั้นไม่มาตั้งหนึ่งอาทิตย์แล้วหรือว่าเขาจะไม่สบายนะ? แต่ก็แปลก ผ่านมาตั้งหลายวันป่านนี้ยังไม่มาอีกเหรอ?

หรือว่าพักการเรียน...

ไม่อยากเชื่อเลย..!

๑ คน ๒ คน ๓ คน ๕.๖.๗....๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๓ ๓๔

‘๓๕ รวมฉัน ๓๕ คนพอดีนี่ ก็ครบ ๓๕ คนแล้วนี่นา แล้วโต๊ะนั้นล่ะ?แปลกจริง  ก็ได้ยินมาว่า “ห้องละ ๓๕ คนนี่?’หญิงสาวนั่งคิดวนไปเวียนมาอย่างสงสัย จนโรงเรียนเลิก

หล่อนเดินลงมารถที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงเรียนตรงนั้นจะมีเพื่อนบางคนที่เขามีรถส่วนตัวมารับก็เล่นวอลเล่ย์บอลกัน

หญิงสาวนั่งมองเพื่อนบางคนที่อยู่ในระหว่างนั่งรอรถเหมือนกันหยิบการบ้านออกมานั่งทำเพื่อฆ่าเวลา

และหล่อนก็เพิ่งนึกได้

“อุ๋ย..! ลืม เราลืมหยิบสมุดการบ้านใต้โต๊ะมาด้วย”คงต้องวิ่งกลับขึ้นไปบนตึกเพื่อเอาสมุดก่อนรถมา

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รับสายฝน



รับ..ฝน

/รับสายฝนด้วยใจแจ่มใสนัก
อุตส่าห์มาทายทักเพราะรักเจ้า
ส่งไมตรีชื่นบานเนิ่นนานเนา
ชะความเหงามอดหายมลายไป

/รับไอดินกลิ่นหอมพะยอมยั่ว
เมฆฝนโปรยโรยทั่วกลบฟ้าใส
รับเมฆน้อยลอยล่องเต็มห้องใจ
มาทอถักเยื่อใยให้แก่กัน

/รับแสงดาวพราวพร่างอยู่ทางนี้
ส่งมาจากใจพี่ที่ใฝ่ฝัน
รับเอาดวงจันทร์เสี้ยวเกี้ยวสัมพันธ์
เป็นเคียวจันทร์พันผูกทุกเวลา

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

..คิดถึง..




/คิดถึงมือแสนอุ่นกรุ่นไอรัก
ที่ฟูมฟักคำสอนก่อนเติบใหญ่
เป็นประจำทุกวันจนมั่นใจ
เฝ้าแกว่งไกวถนอมไม่ยอมจาง

/คิดถึงมือหยาบกร้านนานมาแล้ว
ครั้งลูกแก้วเยาว์วัยไม่เหินห่าง
พาเดินชมร่มไม้ตามรายทาง
ทุกทุกอย่างผ่านแม่จนแน่ใจ

/คิดถึงแม่ที่รัก..แม่นักสู้
ผู้หล่อหลอมให้เรียนรู้อยู่ใกล้ใกล้
ยิ่งกว่าครูยิ่งกว่าเพื่อนไม่เหมือนใคร
ลูกขอเดินตามไปในเส้นทาง

/คิดถึงวันใกล้ชิดสนิทแนบ
แม่คอยแอบข้างกายอยู่ไม่ห่าง
ดังรั้วรอบปลอบใจไม่จืดจาง
เพราะแม่คือผู้สร้างอยู่กลางใจ

คติธรรม


คติธรรม


คติธรรม


น้อยไปอีกหรือ?...


๐.ในยามเช้าเงาตะวันพลันเฉิดฉาย
พยับพรายพรูพรั่งดั่งเก็จแก้ว
ประกายส่องผุดผาดวาดขอบแนว
ดูวับแวววูบหวำทำละเมอ

๐.น้อยไปหรืออย่างไร?ใจที่ให้
ก็ยกไปเก็บไว้ใกล้เสมอ
ใจทั้งดวงที่หวงไม่ลวงเธอ
ทุ่มเสนอจนไร้ใครคอยมอง

๐.น้อยไปหรือ? อย่างไร?ใจที่มอบ
ทั้งรอปลอบตอบไปถึงในห้อง
ไม่เคยหมายใครแอบมาแนบครอง
มั่นใฝ่ปองเพียงเธอเพ้อยามไกล

๐.น้อยไปอีกหรือรักที่ถักส่ง
มันน้อยลงหรือคำนำเคียงใกล้
น้อยไปหรือกับความฝันมั่นห่วงใย
ที่ร้อยห้วงดวงใจรักเฝ้าถักทอ

๐.น้องก็มีเท่านี้ที่ให้ได้
กับหัวใจจริงจังหวังสานต่อ
ให้เธอหมดทุกอย่างยังไม่พอ
ใจคนรอสุดจะช้ำเกินรำพึง

จำได้ไหม?...



ยังจำได้ไหม
มีใครคนหนึ่ง
ที่เอื้อมมือถึง
คว้าดึงเจ้าไว้

ยามเจ้าเหงาทรวง
เป็นห่วงเป็นใย
ผูกจิตชิดใกล้
ไป่คิดคลาดคลา

เคยคิดบ้างไหม
ยามใดอ่อนล้า
ไร้แรงปรารถนา
สิ่งสูงสุดสอย

ใครคอยปลอบใจ
มิให้ท้อถอย
แม้หวังเลื่อยลอย
ยังอาจหวนคืน

หยุดคิดกันหน่อย
แม่คอยความชื่น
มิได้ให้ฝืน นะ..
หยิบยื่นไมตรี

*****ดวงตาอาฆาต*****














มาคิดๆ ดูแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นเพราะดวงแท้ๆเลย
กำหนดการย้ายที่ทำงานของคุณพ่อน่าจะเป็นปีที่แล้วแต่กลับต้องมาเป็นโมฆะไป..

พอผ่านไป ๑ ปี ตอนนั้นฉันต้องขึ้นมัธยม  ๒ ก็ดันมามีคำสั่งให้ย้ายอีก
เป็นช่วงเดียวกับที่ คนรู้จักเขาอาศัยอยู่ในเมืองนั้นเขาจะย้ายออกและครอบครัวของฉันก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่แทน
ประจวบเหมาะกับที่นั่นมีโรงเรียนสตรีอยู่แห่งหนึ่งที่ตั้งไม่ไกลจากที่พักนัก

ฉัน จึงต้องยื่นใบสมัครไปที่นั่น โรงเรียนนั้นเขากำหนดให้มีนักเรียนในแต่ล่ะชั้นเรียนมีไม่เกิน  ๓๕  คนและจะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ล่ะ น.ร ห้อง  A ขาดไปคนหนึ่ง ฉันจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่ห้องนั้นแทน

ฉัน รีบลุกขึ้นตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่เพราะความตื่นเต้นกับสถานที่เรียนแห่งใหม่ มากเตรียมโน่นเตรียมนี่ตั้งแต่เช้า คุณแม่ก็ลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าให้คุณพ่อและฉันตามปรกติ

อากาศในเช้าวันนี้กับบ้านหลังใหม่ที่ในเมืองช่างสดชื่นเหลือเกินเมื่อคืนฝนตกปรอยๆ ทำให้นอนกันแต่ช่วงค่ำๆ ตื่นแต่เช้าอย่างมีความสุข

เอ๊กอีเอ๊กเอ๊กๆ เอ๊กอีเอ๊กเอ๊กๆ

ไก่ ขันรับตะวันยามเช้าแล้ว เสียงกุ๊กๆ กั๊กๆ สงสัยคุณพ่อจะลุกขึ้นแล้วหล่อนเตรียมเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำก่อนคุณพ่อเพราะ ว่าท่านจะตื่นมาดื่มกาแฟก่อนเข้าห้องน้ำเสมอเราจะสลับกันได้อย่างลงตัวและ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องแย่งห้องน้ำกันยามเช้าสักครั้งเดียว

แม่ ของหล่อนเป็นคนละเอียด ท่านจะคอยสังเกตว่าช่วงไหนลูกต้องไปไหนทำอะไรสามีต้องทำอะไรระหว่างที่ลูก จัดการตัวเองอะไรแบบนี้นี่คือความลงตัวที่ถูกจัดสรรมาอย่างดีแล้ว

เมื่อ ทุกอย่างเรียบร้อย ฉันเห็นคุณพ่อออกมาจากห้องน้ำฉันก็เตรียมรองเท้าของท่านและของตัวเองมาจ่อ หน้าประตูรอท่านแต่งตัวเสร็จก็มานั่งรอที่โซฟาหน้าทีวีหยิบหนังสือนิตยสาร ขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา

“วี..วันนี้เป็นวันแรกตื่นเต้นไหมจ้ะกับโรงเรียน?”คุณแม่เดินมานั่งตรงข้ามพร้อมกระเป๋าของคุณพ่อที่วางใกล้ๆด้วย
ฉัน เงยหน้าจากหนังสือมองท่านยิ้มๆ ก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่เท่าไหร่ค่ะคุณแม่”ฉันอาจจะตอบท่านไม่ค่อยตรงความจริง เท่าไหร่ ทั้งๆที่ตื่นเต้นมากแต่พยายามระงับอาการนั้นสุดฤทธิ์

แอ๊ด...


คุณพ่อเสร็จล่ะ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ลอยตามตัวท่านมาด้วย สายตาคุณแม่มองยิ้มๆ

“อื่อหืม..คุณหล่อและหอมมาเชียวนะคะ”คุณแม่ร้องแซวด้วยแววตาล้อเลียนจนพ่อหล่อนยิ้มเหมือนจะเขิน..

“จริงหรือจ้ะ เอ๋วี..ลูกได้กลิ่นไหม? ”พ่อหันมาถามหล่อนเหมือนกับหาแนวร่วม

“คุณ พ่อน่ะหล่อในสายตาคุณแม่และวีเสมอแหล่ะค่ะ”หล่อนตอบยิ้มๆก่อนจะเห็นพ่อหอม แก้มคุณแม่ซ้ายขวาเช่นทุกครั้งที่คุณแม่เดินหิ้วกระเป๋ามาส่งที่รถ

“ไป นะจ้ะ  สามีไม่อยู่อย่าเที่ยวส่งสายตาเจ้าชู้ให้พระเอกในจอล่ะ”พูดเท่านั้นก็รีบพา ร่างเปิดประตูขึ้นรถทันทีคงจะหลบค้อนวงใหญ่ของคุณแม่ที่ยืนตาขวางไม่จริงจัง กับรอยยิ้มกว้างที่โดนแซว

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กลางดึกของคืนหนึ่ง





เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันนานมากตอนนั้นฉันจำได้ว่าเพิ่งจะอายุแค่ ๑๕ ปี จบมัธยม ๓ ใหม่ๆ จึงขอพ่อกับแม่เข้ามาในกรุงเทพฯเพราะความที่อยากร่ำเรียนให้จบสักระดับหนึ่ง ง่ายๆ สัก ปวส ก็พอ จะได้มีงานดีๆทำกับเขาบ้าง พ่อกับแม่บอกให้ฉันเข้าไปเรียนในตัวเมือง แต่ฉันไม่เอา เพราะไม่อยากเห็นพ่อแม่ต้องลำบากมานั่งส่งเสียกันอีกในเมื่อโตแล้ว ช่วยตัวเองก็ได้ เลยตัดสินสินใจเข้ามาแสวงโชคในกรุงฯ


เพราะความที่เป็นเด็กบ้านนอกคอกนาฉันกับเพื่อนอีกคนก็ตัดสินใจเข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองหลวงและโชคดีที่มีคนพาเราสองคนมาสมัครเป็นคนงานโรงงานเย็บผ้าเป็นพนักงานตัดขี้ด้าย ค่าจ้างที่รับวันละ ๑๒๐-๑๕๐ บาท

ฉันต้องนั่งตัดขี้ด้าย กินใช้อย่างอดออมเพื่อเก็บเงินส่งไปให้แม่กับพ่อทุกเดือน ใจจริงๆอยากจะเก็บให้ได้เป็นก้อนค่อยส่งไปเพื่อซื้อรถไถนา จะได้เบาแรงวัวและพ่อบ้าง แต่เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปเมื่อมีคนมาบอกให้ไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์

ฉันจึงไปสมัครทิ้งไว้ ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ความที่อยากเปลี่ยนงานและทางนั้นเขาขาดคนพอดีฉันเข้าทำงานเป็นพนักงานขายตั๋วรถเมล์ ซึ่งก็ไม่หนักหนาอะไรเหนื่อยแค่ช่วงเช้ากับเย็นๆ ที่เด็กเลิกเรียน และยังพอจะได้นอนบ้างไม่เหมือนเด็กตัดขี้ด้าย ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ

รถเมล์สายนี้วิ่งจากถนนตกไปสิ้นสุดที่บางรักผู้โดยสารก็จะเต็มและยืนกันเกือบสุดสายทุกวัน เพราะเป็นทางผ่านจุดสำคัญมากมาย

ผู้คนก็มีหลากหลายประเภทต่างอายุกันไปรอบแรกฉันเข้าทำงานช่วงตีสามไปจนบ่ายสาม และจะเปลี่ยนเวลาหมุนเวียนไปไม่ตายตัว

แต่แล้วเรื่องสยองก็เกิดขึ้นกับตัวฉันในคืนนี้ช่วงตีสองขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่

คืนนั้นรถออกจากท่าจอดเวลาตีหนึ่งกว่าๆผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนขายของรอบดึกตามสถานบันเทิงละแวกนั้นแต่เพราะอยู่ในระหว่างเก็บร้านปิดร้านกันคนจึงไม่เต็มรถนัก

ฉันก็เดินเก็บค่ารถตั้งแต่หัวไปถึงท้ายรถเหมือนทุกๆวัน

ตลอดเส้นทางมีแต่คนลงไม่มีคนขึ้นแม้แต่ป้ายเดียวเมื่อผ่านหน้าตลาดพญาไกร ป้ายนี้จะอยู่ด้ายหน้าวัดพอดีและติดกับรั้วของวัดปรกติป้ายนี้ไม่ค่อยมีคนขึ้นหรือลงในเวลาค่ำคืน จึงดูวังเวงบวกกับตึกที่เก่าคร่ำคร่าเหมือนจะร้างเสียด้วยซ้ำ

“จอดด้วยลูกพี่”ฉันตะโกนบอกพี่เวกคนขับ

“ให้จอดทำไมวะ ไม่เห็นมีใครเลย”เวกตะโกนถามมา

“มีซิ ฉันเห็นเมื่อกี้”สิ้นคำของฉันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดรถมา

“อ้าว! เมื่อกี้คงไม่ทันมอง”

พี่เวกพูดพร้อมกับเข้าเกียร์ออกรถส่วนฉันก็เดินยิ้มตามหลังเธอไปเพื่อเก็บค่าโดยสาร

รำพึงผ่านสายฝน





/ฝนจ๋าฝนตกจนล้นคนเย็นฉ่ำ
เพราะเมฆผืนทะมื่นดำนำมาหว่าน
ก่อเกิดน้ำรินไหลเป็นสายธาร
หลายปีผ่านร่องกว้างกระจ่างตา

/ฟ้าจ๋าฟ้าผ่าเป็นสายคล้ายไฟส่อง
ครืนคะนองเพราะอะไรไหนบอกข้า
หรือโกรธเกรี้ยวเคี่ยวขับกับนภา
จึงแผดแสงแรงกล้าก่อนลาไป

/ดินเอ๋ยดินแผ่นดินที่รุ่มร้อน
เจ้าอาวรณ์ถึงฟ้าฉ่ำน้ำใช่ไหม?
จึงปริแยกแตกระแหงเหมือนแห้งใจ
รอสายฝนประโลมไล้ให้คืนพลัง
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background