Translate

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

@...รอคอย...@ * ....เพื่อพบเจอ....*




..เมื่อรักที่บริสุทธิ์,สะดุดแล้ว
พรหมลิขิตขีดแนวพาแจวหนี
พรากไปให้-ใครอื่นชื่นชีวี
ทำร้ายซึ่งหนึ่งฤดีให้ระทม

..ฤาจะยอมน้อมรับกับลิขิต
ของพรหมผู้อำมหิตพาติดหล่ม
กับแรงฤทธิ์พิศวาสคอยปาดคม
เฉือนอารมณ์ความรักจนหักราน

..ไม่ยอมล้มก้มตัวค้อมหัวให้
กุมดวงใจหมายมุ่งตัดฟุ้งซ่าน
มั่นในรักผูกพันเป็นสันดาน
ทุกลมปราณออกเข้าเฝ้าคะนึง

..คือความนัยให้พบสิ่งหลบเร้น
เปรียบดอกไม้หอมเย็นให้เห็นซึ่ง
-กลิ่นที่ดอมหอมว่าควรตราตรึง
รู้กาลซึ่งถึงกาลเมื่อมาลย์วาย

..ควรคิดถึงคะนึงหาแต่ครา-ที่
ได้ดมดอมหอมนี้ยังมิหาย
ยามดอกร่วงหล่นหล้าปนหญ้าตาย
มิต้องหมายชม้ายมองให้หมองจินต์

..เปรียบไฉนไยช้ำต้องจำไว้
สุขเท่าใดไยเหมือนลบเลือนสิ้น
ทุกข์ทำลายให้สุขร่วงคลุกดิน
คงเหลือทุกข์ให้ถวิลทั้งสิ้นเลย

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

๐๐๐ เหงา ๐๐๐



/อยากมีใครสักคนคอยเข้าใจ
กับชีวิตที่หวั่นไหวในวันนี้
คอยปลอบขวัญยามเศร้าเน้าฤดี
ต่อเวลาทุกนาที..อย่างที่เคย

/เหงา เหงาเหลือเกินยามเดินอยู่
ข้างในใจฉันรู้...อยู่ไม่เฉย
มองเข็มนาฬิกาคราล่วงเลย
ใครไหนเอ่ยเป็นเช่นกัน..หันบอกที

สวัสดียามค่ำคืนค่ะทุกๆ ท่าน

...เสมอ...


กี่วันเดือนผ่านไปในชีวิต
มีเรื่องราววิปริตให้กลืนกล้ำ
มันวนเวียนแบบนี้เป็นประจำ
ใจบอบช้ำจำทนผจญมา

ทางเก่าเก่าซ้ำซ้ำย่ำเสมอ
จากเช้าค่ำที่เจอใช่เพ้อหา
ออกทำกินทุกวันที่ผ่านมา
เพื่อให้มีวิญญาณ์ทายท้าใจ

แม้นหัวใจร่ำร้องก้องว่าเหนื่อย
ก็อดทนมาเรื่อยเมื่อยแต่ไหว
เพราะมีเธอให้ฝันถึงร่ำไป
แม้บางครั้งเหนื่อยใจใช่โกรธกัน

คือ...รักฉัน.


ใต้นภาดาราหายแพรวพรายหม่น
คิดถึงคนที่ห่างไกลใจเงียบเหงา
คำว่ารักถักสายใยในใจเรา
กับคืนเหงาเงาความรักที่ปักทรวง

นั่งขีดเขียนความในใจให้คลายโศก
ไปตามโลกรอบข้างในบางช่วง
กับความฝันที่สวยงามโลกลามลวง
อยากตักตวงความหวานซ่านอุรา

คือความฝันคือบัญชรความอ่อนไหว
คือสายใยหอมหวลรัญจวนหา
คือความรักสลักไว้ในดวงตา
คือคุณค่าเหลือล้นคนของใจ

สายใยยาวราวฝันผูกพันนัก
แค่ได้รักได้ห่วงหาอุราไหว
ใจรำพันกลั่นถ้อยร้อยรึงใจ
คือความนัยจรดจารหวานละออ

*****ดวงตาอาฆาต ๘*****

ความเดิมจากตอนที่แล้ว
“เธอต้องการตัววีรนุชเหรอ?”ศิลารุก
แต่...ต้องชะงักเมื่อวีรนุชตะโกนและทะลึ่งร่างลุกพรวดขึ้นอย่างเร็วเหมือนเป็นการให้ระงับ.ทุกสิ่งลงร่างกายนั้นสั่นสะท้านเหมือนลูกนกต้องลมหนาว
รตากับปภาวดียกมือปาดเหงื่อที่ชื้นตามหน้าผากแล้วจ้องมองวีรนุชที่ยืนหอบจนตัวโยนด้วยความตกใจ
ทันใดนั้น...
ผลัวะ...?

***************


“กรี๊ดดด  ! ”
เสียงประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรง และร่างของวีรนุชก็ทะลึ่งลุกพรวดพร้อมเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจใบหน้าถอดสีซีดเห็นได้ชัด
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ? ”แสงที่ส่องเข้ามาจากไฟฉายในมือของลุงจำเริญภารโรงประจำโรงเรียน หันกระบอกไฟฉายไปที่เด็กทั้งสี่คน และเดินเข้ามาเปิดไฟข้างฝาในห้องจนสว่างขึ้น
รตาก้มลงเป่าเทียนบนโต๊ะให้ดับ
“ลุงจำเริญ! ”ปภาวดีเรียกด้วยความเกรงๆ เมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างตำหนิ
“มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ นี่มันมืดแล้วนะเดี๋ยวพ่อแม่ก็เป็นห่วงแย่หรอก”น้ำเสียงนั้นดุนิดหน่อย แต่ทุกคนรู้ดี ว่าภายใต้ใบหน้านั้นใจดีขนาดไหน
“เอ่อ..! พวกหนูลองเรียกวิญญาณมาที่นี่ดูน่ะค่ะ”ศิลาบอกเบาๆ รีบก้มหน้างุดลงเมื่อจบประโยค
“เหลวไหล  วิญญงวิญญาณอะไร ที่ไหนกัน? ”ตวาดออกมาแล้วใช้มือปัดของบนโต๊ะหล่นกระจาย
แควก..!
พั่บบบ
กระดาษที่วางมือของทั้งสองคนขาดเหรียญกระดอนไปหลังห้อง ทั้งสี่เบิกตาโต ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี
“ไปๆ กลับบ้านกันได้แล้วพ่อแม่เป็นห่วงแล้วละป่านนี้”ลุงจำเริญไล่และยืนมองเด็กๆ เก็บของจนเสร็จทยอยเดินออกจากห้อง เขาเดินตามเพื่อปิดไฟและประตู

------------------------

คืนนั้นวีรนุชต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนเดินในห้อง และแล้ว ร่างของวีรนุชก็กระตุกวาบไปหมดทั้งตัวมือค่อยๆ ยื่นออกไปดึงผ้าห่มที่กองใกล้บั้นเอวขึ้นมาคลุมโปงสายตาจ้องเขม็งไปที่จุดเกิดเสียง จากความสลัวลางในห้อง หล่อนเห็นเงาๆ หนึ่ง ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้ คราวนี้เหงื่อผุดชื้นเต็มหน้าผาก
หัวใจแทบจะหยุดเต้นด้วยความกลัวเมื่อคิดถึงขาสองข้างนั้นที่ห้องอาบน้ำและเสียงพูดที่ในห้อง
“เหงา เพื่อน เพื่อนฉัน วีรนุช”
วีรนุชนอนเหงื่อชุ่มตัวร่างกายสั่นระริก ริมฝีปากแห้งผาก คอหอยเริ่มตีบตัน ความมึนงงสับสนเต็มสมอง
“ใคร นั่นใครน่ะ? ”
กลั้นใจถามออกไปหญิงสาวลำตัวงอเข้าหากันภายใต้ผ้าห่ม มือกำผ้าคลุมโปงแน่น ตัวและปากสั่นจนฟันกระทบ
เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ๆนอกผ้าห่มแต่หล่อนไม่รู้ว่ามันอะไร และเป็นใคร
ความสับสนและฟุ้งซ่านทวีมากขึ้นวีรนุชยกนิ้วขึ้นกัด เพื่อให้ความเจ็บเตือนสติและหยุดความฟุ้งซ่านชั่วขณะนั้นเสีย
“มะ ไม่นะ ! ต้องไม่ใช่ฉัน”พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ปากก็กัดนิ้วแรงขึ้น
“โอ้ย...!”เสียงร้องของหล่อนคงดัง เมื่อ
ก๊อก ก๊อก
“วี เป็นอะไรไปลูก”ทั้งบิดาและมารดาเปิดประตูเข้ามาหาหล่อนในห้องด้วยสีหน้าตื่นๆและกดสวิตช์เปิดไฟข้างฝา
มารดากอดหล่อนเอาไว้บิดาใช้มืออังที่หน้าผากมน เพื่อจะวัดอุณภูมิของร่างกายว่ามีไข้หรือเปล่าแต่สายตาที่มองมานั้นก็เหมือนจะถาม แต่ไม่มีเสียงใดลอดออกมา
“ฝันร้ายหรือลูก เล่นมากไปมั้งเราน่ะ”จับหัวหล่อนโคลงไปมา  “งั้นแม่นอนกับลูกนะ ผมจะไปนอนล่ะยังนอนได้อีกหน่อย”ว่าแล้วบิดาก็เดินออกไป มารดาก็ไม่ถามอะไร
“เรานอนต่อเถอะลูก แม่จะนอนเป็นเพื่อน”มารดาเลื่อนตัวเอนลงนอนกับหล่อนมือก็ยังจับมือหล่อนไว้
“โตแล้วยังเหมือนเด็กๆ อีกลูกคนนี้”บ่นแต่ก็นอนให้หล่อนซุก
วีรนุชไม่อยากเล่าให้มารดาฟังหล่อนกลัวมารดาจะห่วงและกังวลไปด้วย “พรุ่งนี้หนูขอหยุดสักวันนะคะคุณแม่”เอ่ยออกไปเบาๆแล้วกลั้นหายใจฟัง เผื่อมารดาจะคัดค้าน
“เพราะ?  ”ท่านถามและเบนสายตามามองหน้าหล่อน  “มีอะไรหรือเปล่าลูก  วี? ”
วีรนุชเงียบเป็นครู่  “หนูเพียงแต่ปวดหัวน่ะค่ะแม่พอดีพรุ่งนี้ไม่ค่อยมีวิชาหนักๆ ให้เรียน พอจะหยุดได้ค่ะ”
“อืม...นอนเถอะ”มือของมารดาเอื้อมปิดโคมไฟหัวเตียง

***************
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ


วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

อรุณสวัสดิ์ค่ะ


เช้าวันนี้แดดจ้าน่าสดใส
วิบวับไหวแพรวพราวราวดวงแก้ว
ประกายผ่องผุดผาดวาดตามแนว
ช่าววาวแววแถวขอบรอบน่านเนินฯ

อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกๆท่าน
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background