Translate

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

*ละคร..รัก*


เพราะว่าใจนี้รัก เกินหักห้าม
ยังคงถามข่าวคราว มิหยุดหย่อน 
ใช่ห่างเหินห่วงหาคอยอาทร
ความอาวรณ์มีเสมอก่อนเธอไกล

มีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่คอยถาม... 
ก็ตอบตามความจริงมินิ่งไว้
เรา.จาก...กันเกินจะหักเหดวงใจ
แต่ ต้องทำอย่างไรเมื่อไร้เธอ

บอกไปเพียงแค่นั้นฉันนึกได้
จากก้นบึ้งทรวงในจิตไผลเผลอ
ชีวิตคว้างร้างคนคอยปรนเปรอ
ฝันละเมอเพ้อจนหลับ กับดวงแด

ได้รู้จักชีวิตขีดอีกฉาก
เงาความมืดเข้ากระชากลากมาแผ่
กับค่ำคืนแสนเหงาเขาไม่แล
ดูย่ำแย่มากมายในสายตา

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่ ๙



บทที่ ๙

เมื่อฟังหญิงสาวพูดจบ นาทีนี้เมฆรับรู้ได้ทันทีว่ายุกันดานั้นพร้อมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว หล่อนพร้อมและ ยอมสละชีวิตเพื่อที่จะติดตาม ดิษฐ์คนรักของหล่อน เพื่อจะไปยังทุกที่ที่หนุ่มใหญ่ผู้นี้ไป เมฆมองผ่านม่านน้ำตาที่ขังคลอเต็มสองเบ้า ด้วยความเจ็บร้าวไปทั่วร่าง แต่เขาก็ไม่คิดว่าหัวหน้าแผนกจะพาหญิงสาวไปด้วยได้ แต่ความตื่นตระหนกก็ทำให้เขากล่าวยับยั้งออกไปทันที
“อย่านะครับหัวหน้า หัวหน้าอย่าทำอย่างนั้นนะ ปล่อยยุเถอะ ถ้าคุณคิดและยังรักเธอ คุณก็ไม่สมควรจะพรากเธอไปไหน ปล่อยให้เธออยู่กับครอบครัวของเธอทางนี้ดีกว่า ใช่มั๊ยล่ะ? ถ้ารัก...” ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้น เขาก็ต้องหยุดกะทันหัน เพราะลำคอของเขาตอนนี้มันขมปร่าไปหมด แม้พยายามจะฝืนกลืนน้ำลายก็ยังยากเต็มที แต่เขาก็ยังฝืนกลืนก้อนขมๆนั้นลงไปจนได้
“หัวหน้าครับ ถ้าคุณยังรักยุ ได้โปรดละความคิดอันนั้นไว้เถอะครับหัวหน้า คุณน่าจะยอมให้ยุกันดาอยู่อย่างมีความสุข...ไม่ใช่หรือครับ? ”
เมฆกล่าวคำพูดที่ค้างเอาไว้เมื่อสักครู่ต่อ และพยายามยืดลำตัวตั้งตรง เพื่อเป็นการผ่อนคลายตนเอง ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองอย่างไม่อาย ในตอนนี้เขารู้ตัวดีว่า เขาช่างอ่อนแอเหลือเกิน..
“หัวหน้าไม่รักเธอแล้วหรือยังไง? ”
คำตัดพ้อของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง ทำให้ดิษฐ์ยืนนิ่ง เขาไม่กระดุกกระดิกส่วนใดในร่างกาย จะมีเพียงแต่ลูกตาที่กรอกไปมา แม้ยามนี้จะมีร่างบางของภรรยายืนแนบข้าง วงแขนเรียวงามโอบกอดไปรอบคอทั้งซบใบหน้ากับอกกว้างอยู่ก็ตามที ชายหนุ่มเพียงแค่โอบแขนสอดกระชับเอวบางของหล่อนไว้หลวมๆ เท่านั้น ก่อนจะก้มลงมองและเกลือกกลั้วใบหน้าตนเองเคล้าเคลียกับเส้นผมของหล่อนไปมาด้วยความรักใคร่ ไหลหลงในตัวภรรยาสาว ที่เขาต้องจากอย่างไม่มีทางย้อนเวลาหวนคืนได้
“คุณดิษฐ์! ” ยุกันดาเรียกเขาเบาๆ หล่อนคลายมือที่โอบไปรอบลำคอของเขาออกมาแตะผิวที่โชกเลือด ลูบไล้ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงใบหน้าของเขาที่หล่อนค่อยๆ บรรจงปาดลิ่มเลือดออกไปอย่างเบามือ แต่ดิษฐ์นั้นไม่รู้สึกอะไร เขากลับหันไปสนใจเมฆและถามเสียงห้วนขุ่น
“นายมาที่นี่ได้ยังไง? ” เขาถามออกไปหลังจากที่ตั้งสติได้ คำถามของเขาทำให้เมฆงงงัน ก่อนจะแปลกใจ
“ครับ? ”
ดิษฐ์จ้องมองเมฆด้วยแววตาดุดัน และคาดคั้น “ทำไมนายมาที่นี่ นายมีพลังมายังเขตแดนที่ติดต่อกับปรภพนี้ได้ยังไง เมฆ!”
เมื่อจบประโยคของอดีตหัวหน้า และโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เขาก็ตะโกนตอบไปทันที
“เพราะผมรักยุกันดาเหมือนหัวหน้าไงครับ ผมจึงจึงมีพลัง มันเป็นพลังของความรักและความห่วงใย ถึงแม้นว่าเขาจะถอนหมั้นผมมาหาหัวหน้าก็เถอะ ความรู้สึกของผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเธอ ผมอยากเห็นยุกันดามีความสุขครับหัวหน้า และยังไงผมก็ทนได้ แต่ที่ผมไม่ทนคือ หัวหน้าได้ตายไปแล้ว หัวหน้าก็น่าจะอยู่ในส่วนของหัวหน้า ไม่ใช่มาอยู่กับพวกผมอย่างนี้”
หวิวววว....
เมฆตะโกนเสียงดังแข่งกับสายลมที่พัดหวีดหวิวอยู่ภายนอก จนหน้าต่างไหวยวบยาบก่อนจะเปิดออกและตีปิดกลับมาเสียงดังจนเขาสะดุ้งสุดตัว
พรึบบบ ปัง....
ยิ่งเขาเห็นดิษฐ์โอบประคองหญิงคนรัก ทั้งสองไม่สนใจเขาที่ยืนอยู่ด้วย เหมือนโลกทั้งใบนี้เป็นของพวกเขากระนั้น เมื่อแรงกดดันจากภายในมันมีมาก ตอนนี้เมฆอยากจะพูดๆ ๆ พูดในสิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในอกของเขาออกมาให้โลกรับรู้ เขาอยากระบายความรู้สึกต่างๆ อย่างไม่ปิดบังให้ทั้งสองเข้าใจ
“หัวหน้าครับ หัวหน้าทำให้ยุกันดามีความสุขไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ได้โปรดปล่อยเธอเถอะครับหัวหน้า ผมขอร้อง ได้โปรด ปล่อย เธอ ไป เถอะ ? ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นฟังกระท่อนกระแท่น และสะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก เขายกมือปิดหน้า เมื่อสมองไปนึกถึงคำพูดของยุกันดาที่ยังดังก้องอยู่ในสมองของเขาเมื่อสักครู่ว่า หล่อนไม่ต้องการจะอยู่ในโลกนี้เมื่อปราศจากดิษฐ์ผู้เป็นสามี
“ไม่นะคะ คุณดิษฐ์ อย่าไปฟังเมฆนะคะ กรุณาพายุไปด้วยเถอะค่ะ นะคะ พาไปเร็วสิคะคุณดิษฐ์ นะคะ พาฉันไป อย่าไปฟังเมฆเลย เราจะอยู่ด้วยกันชั่วนิจนิรันดร์ไงคะ? คุณยังจำคำพูดของคุณได้ไหม ที่จะอยู่และรักฉันชั่วนิจนิรันดร์” ไม่พูดเปล่า สองมือก็เขย่าลำแขนของหนุ่มใหญ่ไปด้วย ใบหน้าก็แหงนขึ้นถามด้วยน้ำสียงเครือสะอื้น
ทั้งวิงวอนขอร้อง ใครมาฟังหรือได้ยินเข้าก็คงอดสะเทือนใจไม่ได้ แม้ร่างหนาที่ยืนท่ามกลางหมอกควันจะเฉย แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้ ดวงใจของเขาแทบจะขาด แต่ก็พยายามสะกดกลั้นมันไว้ในอก ร่างกายภายนอกยืนเฉย แต่ทว่า ดวงตาและสมองเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เพระเมฆสังเกตเห็นคิ้วหนาขมวดมุ่นใบหน้าส่ายเล็กน้อย เหมือนกำลังตัดสินใจ ชายหนุ่มไม่เอ่ยหรือขยับไปไหน เพราะเขาก็กำลังลุ้นว่าร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณแล้วข้างหน้าจะทำและตัดสินใจอย่างไร
ดิษฐ์หลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเอื้อมมือของเขาไปแตะมือเรียวอย่างนุ่มนวล พร้อมทั้งค่อยๆ แกะนื้วมือบางออกจากแขนอย่างทะนุถนอม ตอนนี้เขาเริ่มวางใจแล้วว่า คนที่เขารักนักหนาจะมีคนที่รักหล่อนมากไม่แพ้ตัวเขาเช่นกัน คอยดูแลและปกป้องหล่อนได้เป็นอย่างดี
ยุกันดาพยายามยื้อยุคทั้งดึงรั้งชายเสื้อที่เขาสวมเอาไว้ เขาแกะ หล่อนคว้า ฝ่าม่านน้ำตากับร่างของสามี ที่ตอนนี้รอบๆ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหมอกสีขาวพร่างพราย ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เลือนรางหายไปจากปลายเท้า ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมาจากร่างหนานั้น มีเพียงสายตาที่จ้องใบหน้าเมฆเขม็ง ประกายตาที่ส่งไปนั้น เมฆรับรู้และพยักหน้าช้าๆ ร่างหนาท่ามกลางหมอกควันนิ่งเงียบก่อนจะก้มมองร่างบางของยุกันดาอีกครั้ง เขาแกะมือหล่อนต่อ อย่างนุ่มนวล ตอนนี้เขามีความสุข
สุขเพราะมีคนทำหน้าที่ดูแลคนที่เขารักได้ เขาพร้อมและไว้วางใจหนุ่มรุ่นน้องคนนี้มาก
“ลา ก่อน นะ ยุ กัน ดา ชาติ นี้ ผม บุญ น้อย วา ส นา เรา มี ต่อ กัน เท่า นี้ หาก ชาติ หน้า มี จริง ขอ ให้ เรา มา เจอ และ รัก กัน อีก นะ ” คำพูดที่เนิบช้าหลุดออกมาแสนจะยากเย็น ที่ล่ะประโยคที่ทำให้คนฟังหรือได้ยินต่างก็หนาวยะเยือกไปตามๆ กัน แต่เมื่อสิ้นประโยคนั้น ร่างกายบางส่วนของเขาก็เลือนหายจวนจะหมดแล้ว พร้อมๆ กับที่ร่างบางก็เริ่มขยับและส่งเสียงออกมาได้ แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามันอ่อนล้าโรยแรงเสียเหลือเกิน
“ไม่นะคะคุณดิษฐ์ อย่าทิ้งยุไว้แบบนี้สิ? ได้โปรด…พายุไปด้วยคนเถอะนะคะ... ” เสียงร้องเศร้าสร้อย น้ำเสียงวิงวอนออดอ้อนอย่างน่าสงสาร ทั้งถลาตามควันสุดท้ายของเขาไปพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เสียดแทงความรู้สึกของผู้ที่ได้ฟัง ปานคนเจียนจะขาดใจตายตาม
“โธ่! คุณผู้ชาย..ไม่น่าเลย ฮื่อ ฮื่อ...”พูดจบก็ซบหน้าลงบนบ่าของชายหุ่นกำยำที่ยืนแอบข้างๆ อีกฟากฝั่งของเรือนรับรองที่มีช่องอยู่เพียงเล็กน้อย แต่หูก็ยังได้ยินการตอบโต้ไปมาของนายที่อยู่ในเรือนอย่างถนัดถนี่
“ไม่นะ คุณดิษฐ์ ไม่.....” เสียงตะโกนก้องดังไปทั่วเรือน เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เมฆจะถลาเข้าไปดึงร่างของหญิงสาวที่ฟุบลงกับพื้นให้ลุกขึ้นมายืนใหม่ ม่านหมอกควันหนายังลอยวนเป็นก้อนอยู่เบื้องหน้า เหนือม่านควันนั้นยังมีสายตาของดิษฐ์ที่มองมาสบอีกครั้งเพื่อเป็นการฝากฝังหญิงสาวคนรักไว้กับเขา และเขาก็พยักหน้าพร้อมที่จะทำตามคำฝากฝังนั้นอย่างเต็มใจไปพร้อมกับหัวใจของตนเอง
คราวนี้ไม่มีการยื้อยุคฉุดกระชากเหมือนช่วงที่ผ่านมา กลุ่มควันม้วนล้อมกลืนร่างที่โชกเลือดของดิษฐ์หายไป กลับกลายเป็นชายหนุ่มใหญ่ที่ยังคงความหล่อเหลาอยู่เช่นเดิม
ริมฝีปากหยักคู่นั้น ค่อยๆ เผยอออกและเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วโหย “ผม รัก คุณ ยุ กัน ดา ผม จะ รัก คุณ ไป ชั่ว นิจ นิ รันดร์.....” ปลายเสียงแม้จะเบาแต่ทว่าทั้งคู่ก็ได้ยินอย่างถนัดถนี่
“คุณดิษฐ์ คุณดิษฐ์คะ? ได้โปรด กรุณายุด้วย อย่าทิ้งฉันไปนะ ยุขอร้อง....” ร่างบอบบางที่อยู่ในการประคองของเขาถลาตามไปอีกครั้ง เมฆต้องออกแรงคว้าหล่อนเอาไว้แล้วรั้งมาทั้งตัว ก่อนร่างบางจะถลันตามไป ชายหนุ่มต้องใช้แรงของลำแขนโอบกอดหล่อนเอาไว้แน่น ลูบแผ่นหลังเบาๆอย่างปลอบประโลม
กลุ่มควันได้จางหายไปพร้อมกับร่างของดิษฐ์
……………………………………
สองปี...ผ่านไป
“เดี๋ยวใครก็ได้ ช่วยเอาอาสนะของพระคุณเจ้าไปวางให้ครบที ตรงด้านหน้าที่ป้าจัดไว้น่ะ”คุณนายจันทร์โฉมบอกเด็กด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะหันกลับไปข้างในและสบตากับสามี ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอิ่มเอิบใจ
“เอ้าแม่ ใครไปรับท่านต้นหรือยังล่ะนี่ หือ...”คุณประภาสถามภรรยาที่เดินเข้ามาใกล้อย่างปรึกษาหารือ
“บอกตาแม้นไปรับแล้วล่ะพ่อ อีกสักประเดี๋ยวก็คงจะมาถึง ทางนี้แขกเหรื่อก็คงจะกินข้าวกินปลากันเป็นที่เรียบร้อยนะคิดว่า พ่อล่ะ มีความสุขไหมกับวันที่ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝาตามที่ต้องการ”คุณนายถามสามีตรงๆ
“ใช่ เราคนเป็นพ่อและแม่ อดที่จะปลื้มใจไปกับเขาไม่ได้ ใครเลยจะคิดว่าพ่อเมฆจะรักและรอคอยลูกสาวของเราได้นานขนาดนี้ และคุณดิษฐ์เองก็คงตายตาหลับเพราะฝากคนรักไว้ถูกคน จริงไหมแม่....”พูดจบท่านก็ยื่นแขนมาแตะที่เอวของภรรยาให้เดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน โดยมีสายตาของชาวบ้านแถบนั้นมองอย่างชื่นชม กับความรักลูกและครอบครัวของตระกูลนี้
“คุณเข้าไปคุยกับแขกก่อนคะ ฉันจะเข้าไปดูลูกสักหน่อย ไม่รู้ว่าแต่งตัว แต่งหน้าออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง”กระซิบบอกคุณประภาสเบาๆ
“จ้ะ อย่านานนักล่ะ แม่ผ่องช่างประจำตัวของคุณเขาไว้ใจได้นะผมว่า”สามีบอกยิ้มๆ มาพร้อมกับส่งสายตาเจ้าชู้มาให้ ทำให้คุณจันทร์โฉมค้อนส่งไปวงใหญ่ที่เดียว แต่ก็ไม่จริงจังนัก ดูทั้งสองจะมีความสุขที่มีลูกสาวและลูกชายได้ดีไปคนล่ะแบบ ถึงแม้นลูกชายจะไม่ยอมสึกเพราะดื่มด่ำกับรสพระธรรมก็ตามที แต่ทั้งสองก็ยังมีลูกสาวที่กำลังจะมีครอบครัวและคงจะมีเจ้าตัวน้อยออกมาให้ได้ชื่นใจอย่างแน่นอน ในไม่ช้านี้
“ฮึ ฮึ...”หัวเราะแค่นั้น คุณประภาสก็รีบเดินจากไปเพราะไม่อยากเสี่ยงกับการโดนทุบต้นแขน
คุณนายจันทร์โฉมเดินแยกจากสามีมาอีกฟากของเรือนที่ซึ่งเป็นห้องแต่งตัวของเจ้าสาว เมื่อไปถึงก็เคาะประตูเบาๆ
ก๊อกๆ ก๊อก....เอี๊ยด...
ประตูถูกเปิดและผลักเข้าไปอย่างเบามือ เมื่อแย้มหน้าเข้าไปก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนหวานจากลูกสาวและช่างที่หันมามอง
“คุณนาย เชิญค่ะ มาช่วงผ่องดูหน่อยว่าแต่งหน้าประมาณนี้พอไหม”ผ่องช่างแต่งหน้าและทำผมประจำของบ้านหันมาขอความเห็นด้วยแววตายิ้มแย้ม
“อือม..หวานทีเดียวแม่ผ่อง ไม่จัดจ้านเกินไปและไม่อ่อนเกินไป กำลังเหมาะเชียวล่ะ หือ! ว่าไงเจ้าสาวชอบไหมลูก..”หันไปถามลูกยิ้มๆ
“ค่ะ คุณแม่ ยุว่ากำลังดี”ตอบพร้อมทั้งก้มหน้าเอียงอาย ทำให้ทุกคนในห้องมองอย่างเอ็นดูกับท่าทีที่เห็น
ยุกันดายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมฆก็อยู่กับเธอตลอดระยะเวลาสองปี เขาทำดีด้วยตลอดเวลา ห่วงใยเธอเสมอ.. คอยดูแลทุกข์สุขไม่เคยห่าง และที่หล่อนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเขา ตอนนี้หล่อนกำลังจะแต่งงานกับเมฆ และตลอดเวลาที่อยู่มานี่หล่อนคาดว่าเมฆคงทำให้หล่อนมีความสุขได้แน่ๆ และเขาก็ทำให้หล่อนยิ้มขึ้นมาได้อีกครั้ง
แต่ถึงกระนั้น ส่วนหนึ่งของจิตใจและวิญญาณก็ยังคงติดตรึงอยู่กับดิษฐ์ชั่วนิจนิรันดร

อวสาน

โดย..เงาบุหงา

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่๘



บทที่ ๘
เมฆจ้องแผ่นภาพนั้นไม่วางตา ก่อนที่เขาจะขยับตัวหรือเบือนหน้าไปไหน จู่ๆ ก็มีแสงเปล่งรัศมีขึ้นรอบรูปนั้น ประกายเจิดจ้าจนเขาแสบตา ต้องรีบยกมือขยี้แล้วหลับตาลงทันที เขาใช้ปลายนิ้วคลึงที่เบ้าด้านบนสักครู่ แล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ แต่แสงนั้นก็หายไปแล้ว
แต่ทว่า เมื่อเมฆมองไปรอบๆ คราวนี้ที่เขาคิดว่ายืนอยู่ที่คอนโดหรูของอดีตแฟนสาว นั้นไม่ใช่เสียแล้ว เพราะที่เขายืนอยู่ขณะนี้เป็นพื้นไม้สักขีดมันแวววาว รอบข้างฝามีรูปแกะสลักฝีมือปราณีตของจิตรกรมีชื่อ การตกแต่งภายใน งดงามด้วยของใช้เก่าๆ ดูลึกลับสวยแปลกตา แต่พอเขามองไปทางขวามือที่มีห้องแยกออกไป ประตูเปิดออกอัตโลมัติ เหมือนเชื้อเชิญแขกหนุ่มให้เข้าไป มุมปากคลี่ยิ้มออกอย่างตื่นเต้นเมื่อร่างบางของอดีตคู่หมั้นยืนอยู่ในห้องนั้น
ยุกันดาเองก็ชะงักขา ที่กำลังจะก้าวออกมาจากห้องครัว หล่อนเบิกตาขึ้นกว้างจนโต ปากก็อ้าออกด้วยความไม่ตั้งตัว
“ม่ะ เมฆ..! คุณมาที่นี่ได้ยังไงกันคะ? คุณรู้จักที่นี่ด้วยเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยคำที่ติดอ่าง ดวงตาส่องประกายบอกชัดว่าสงสัย ว่าทำไมเขายืนจ้องหล่อนด้วยความตกตะลึงแบบนั้น
“ยุ ที่นี่ที่ไหนกัน แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่” ใบหน้าคร้ามหันมองสำรวจไปรอบๆ อย่างช้าๆ ชายหนุ่มเองก็งงกับสถานที่ที่เพิ่งเข้ามาเห็น เขาจำได้ดี ว่าบ้านที่เขายืนอยู่นี่ เป็นบ้านและภาพเดียวกันกับในรูปที่เขากำลังเปิดดูอยู่ที่ห้องคอนโดชุดเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว
“อะไรกันเมฆ ทำไมถามยุแบบนั้นล่ะ ก็ในเมื่อเมฆมาที่นี่ถูก แปลว่าเมฆก็ต้องรู้จักที่นี่ดีพอสมควร แล้วทำไมต้องถามยุกลับเหมือนว่าไม่รู้จักด้วย” ยังไม่ทันที่เขาจะตอบ..เสียงที่ร้องถามฟังคุ้นหู ก็ดังมาจากด้านใน
“ยุกันดา..มีอะไรเหรอ ใครมาหาเรา !”
เสียงนี้..? เขาจำได้ดี...
เมฆยืนมองใบหน้าของอดีตคนรัก และทอดสายตามองข้ามหัวหล่อนไปด้านใน ก่อนดวงตาจะเปิดกว้างใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นจนฟันกระทบกัน แต่ยุกันดาไม่เห็น เพราะรีบหันไปยังต้นเสียงเสียก่อน
“คุณดิษฐ์ เอ่อ..คือว่า..! ” หล่อนยังไม่ทันจะเอ่ยปากตอบ ใบหน้าของคนที่เรียกนั้นก็โผล่ออกมาสมทบ ทำให้เมฆผละเซถอยหลัง มือก็ยกขึ้นชี้ก่อนจะหลุดคำพูดออกมาได้สักคำ
“หวะ หัวหน้า ทะทำไมมาอยู่ที่นี่? บ้าน่า เป็นไปไม่ได้” เขายกมือขึ้นขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ ดวงตาเบิกกว้างและโตกว่าเก่า เมฆยืนจ้องชายหนุ่มตรงหน้าเขม็งหน้าซีดเผือดปากก็ละล่ำละลัก พยายามจะตั้งสติแต่ก็ยากเต็มที หญิงสาวหันมาทางเขาและขมวดคิ้วขึ้นสูง ทั้งมองอย่างแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลง
“เมฆ คุณเป็นอะไรไป มีอะไรผิดปรกติหรือคะ” ความอยากรู้ทำให้หล่อนเอ่ยถามทันที
“หวะ..หัวหน้ามาทำอะไรที่นี่ ก็คุณตายไปแล้วนี่ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ทำไม ทำไมมาที่นี่” เขายังคงพึมพำอยู่แบบนั้น คำถามซ้ำซากวนเวียนไปมาจนยุกันดาเริ่มไม่พอใจ
“หยุดนะเมฆ คุณอย่ามาชี้ซั้วพูดสิ ทำไมนิสัยแบบนี้ ยุไม่อยากเชื่อว่าคุณจะอิจฉา คุณดิษฐ์เขาขนาดพูดให้ร้ายกันได้ เราน่าจะคุยกันเข้าใจดีแล้ว” ยุกันดาตวาดเขาด้วยน้ำเสียงกร้าวและเกรี้ยวกราด
“โธ่! ผมพูดจริงๆนะยุ เมื่อคืน ที่วัดธาตุทอง ผมยังไปฟังพระสวดอภิธรรมมาเลย ตอนนี้ศพของหัวหน้ายังตั้งอยู่ที่วัดเลย” เมฆรีบอธิบายให้หญิงสาวฟังอย่างเร็ว เพราะดูเหมือนว่าหล่อน จะไม่รู้ข่าวที่เกิดขึ้น และนั่นทำให้เขายืดตัวขึ้นตรงหลับตายกมือขึ้นตั้งฉากก่อนจะบอกอีกครั้ง “เอาล่ะ ยุฟังผมดีๆ นะ รถยนต์ที่หัวหน้าดิษฐ์นั่งกลับมาจากสนามบิน เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนทางด่วนและพลิกคว่ำจนไฟลุกท่วมคัน ทำให้มีคนตายคาที่ทันทีเจ็ดศพ เมื่อสามวันก่อน เข้าใจผมหรือยัง” เขาเท้าความและบอกข้อมูลให้หล่อนฟังและได้คิดดวงตาส่องประกายอ่อนโยน
“ยุไม่เชื่อ คุณอย่าพูดบ้าๆ นะเมฆ คุณดิษฐ์มาหายุและอยู่กับยุที่นี่ตลอดเวลา จู่ๆ จะกลายเป็นศพไปได้ยังไงกัน หากคุณมาเพื่อที่จะทำให้เราสองคนแยกกันนั้น ไม่เป็นหรอกค่ะ เมฆกลับไปเถอะนะ หากมาเพื่อใส่ร้ายคุณดิษฐ์ล่ะก็ ยุไม่ต้องการฟัง ไม่อยากได้ยินอะไรที่ใครว่าเขาไม่ดี เมฆไปก่อนที่ยุจะหมดความอดทนดีกว่าค่ะ” เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็ตัดบท และหมุนร่างเดินไปหาคนรักที่ยืนไม่ห่างกันนัก
ยุกันดาเดินไปยืนระหว่างกลาง เหมือนกำลังจะป้องกันอันตรายให้เขา ที่จะเกิดจากเมฆ นั่นยิ่งทำให้เมฆมองหล่อนอย่างคนไม่เคยรู้จัก ทั้งฉงนกับการกระทำของอดีตคนรัก
“ยุจะบอกว่า คนที่ตายไปนั่นน่ะเป็นคนอื่นหรือครับ?” เขาไม่อยากจะเชื่อว่ายุกันดาจะเป็นคนที่พูดยากไปแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากครางในลำคออย่างหงุดหงิด และเขาแทบผละ เมื่อร่างหนาของผู้ชายที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดีนั้น จ้องมาด้วยสายตาถมึงทึง
“ค่ะ...คุ...คุณดิษฐ์?” เมฆในตอนนี้เหมือนร่างกายจะร้อนวูบวาบ คล้ายคนเป็นไข้ประมาณนั้น
ดิษฐ์ขมวดคิ้วเข้มยุ่งจนแทบจะชนกัน ปากเม้มสนิทกรามบดกันแน่นจนน่ากลัวว่ามัน
จะหักลง มือหนาของเขาเลื่อนเข้าจับไหล่บอบบางของหญิงสาวและดันให้มายืนข้างๆแทนด้านหน้าเขา
ก่อนจะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นน่ากลัว
“ยุ กัน ดา เป็น ของ ฉัน และ จะ ไม่ ยก ให้ ใคร เด็ด ขาด” ประโยคนั้นของเขาเน้นทุกคำพูด ประกายตากร้าวเมื่อทอดไปยังร่างของอาคันตุกะหนุ่ม ก่อนที่ลมเย็นจะพัดมาวูบวาบ ปลิดปลิวสายใยอ่อนไหวเข้าปะทะร่างของเมฆจนกายสะท้าน กิ่งไม้ไหวดังหวีดหวิว หมาที่อยู่ไกลๆ เริ่มส่งเสียงเห่าหอนรับกันมาเป็นทอดๆ ร่างกายเมฆพลันหนาวยะเยือกขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ในนาทีนี้เขาไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว เพียงแค่ต้องการจะนำหญิงสาวอดีตคู่หมั้นออกไปจากบ้านชายป่านี้ให้พ้นเท่านั้น
แต่ทว่า..
หัวหน้าแผนกหนุ่มใหญ่ ก็หันหลังเหนี่ยวเอวบางข้างๆ เตรียมพาออกเดิน นั่นทำให้เขาถลาเข้าไปหาร่างของทั้งสองอย่างรวดเร็ว และเหมือนดิษฐ์จะรับรู้ในความคิดของเขา มือหนาเอื้อมเข้าจับมือของยุกันดาอย่างเร็ว และปัดให้ร่างบางไปทางด้านหลังเขาโดยไม่ยั้ง จนหญิงสาวอุทานเพราะด้วยความเจ็บและไม่ทันคิดจะตั้งตัว
หมับ...
“อุ๋ย...คุณดิษฐ์! ยุเจ็บนะคะ มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องทำสีหน้าน่ากลัวกันด้วย” ยุกันดาอุทานและถามตรงๆ เมื่อเห็นทั้งคนจ้องกันอย่างเอาเรื่อง น้ำเสียงจึงดูจะตื่นตกใจ ยิ่งเมื่อคนรักหนุ่มคว้ามือแล้วผลักให้ไปด้านหลัง เพื่อกั้นเมฆให้เข้าไม่ถึงตัว เพราะร่างหนานั้นกั้นเอาไว้ทั้งตัวก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเมฆตรงๆ
“ปล่อยยุเถิดครับหัวหน้า ให้ผมพายุกลับบ้าน” เมฆบอกด้วยน้ำเสียงวิงวอน
“ผมจะพาคุณไปนะยุ..!” ดิษฐ์หันไปบอกหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และเอื้อมมือไปกำข้อมือเรียวเอาไว้แน่น ก่อนจะดึงร่างหล่อนเข้ามาปะทะอกกว้างที่หล่อนใช้อิงแทนหมอน ยามนอนในบางคราวอย่างแรง
“โอ้ย..! คุณดิษฐ์ ยุเจ็บนะคะ ทำไมต้องดึงแรงด้วย”
และเป็นจังหวะเดียวกับที่เมฆเองก็ถลาเข้าหาร่างของหล่อนด้วยเช่นกัน แต่ช้ากว่าดิษฐ์ที่ยืนใกล้ๆ ชายหนุ่มก้าวขาออกและดึงร่างบางไปด้วย เหมือนผู้ใหญ่ดึงเด็กให้ออกห่างของเล่น
“คุณดิษฐ์ คุณจะพายุไปไหนน่ะ” เมฆเห็นเช่นนั้นเขาก็เอ่ยถามทันที แต่ดิษฐ์ไม่ฟังเสียงของใครทั้งนั้นในเวลานี้ ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวจนดูไม่เหลือเค้าความหล่ออยู่เลย มือที่จับข้อมือหล่อนก็ซีดเซียว เย็นยะเยือก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป เลือดเริ่มซึมออกมาตามรู้ขุมขน และลามเรื่อยจนเต็มร่าง ไหลหยดย้อยไปตามทางที่เดิน ยุกันดาจ้องเขม็ง หล่อนตะลึงกับใบหน้าของเขา ดวงตาที่มองมาที่หล่อนลึกโบ๋ แล้วน้ำเหลืองก็เริ่มปริ่มเบ้าตาไหลเยิ้ม หยดไปตามข้อมือที่กำมือหล่อนเอาไว้
ยุกันดาเบิกตากว้าง อ้าปากค้างหล่อนช๊อคกับภาพที่เห็น ทำให้ขาสั่นจนทำอะไรไม่ได้
“คุณดิษฐ์ กรี๊ด!” กรีดร้องอย่างโหยหวนก่อนจะพับในอ้อมแขนที่อาบเลือดเปรอะเปื้อนชุดนอนหล่อนจนเป็นสีแดงฉาน ความวังเวงเริ่มเกาะคลุมไปทั่วบ้าน เมฆเองก็ทำอะไรไม่ถูก ด้วยความตกใจ เขายกมือขึ้นแหย่นิ้วใส่ปากขบอย่างแรง
“โอ๊ย...!” เขาสลัดมือไปมา สีหน้ายับยู่ยี่กับการเรียกสติด้วยวิธีนี้
“นายกลับไปซะเมฆ ยุกันดาจะไปกับฉัน เธอพร้อมจะไปทุกที่กับฉัน” ร่างโทรมด้วยเลือดหันมาบอกกับเมฆ ไม่ทันขาดคำ ร่างหนานั้นก็มีหมอกและควันลอยล้อมท่วมร่าง ขาเริ่มลอยเหนือพื้น ร่างเอนเคว้งคว้างในอากาศ โดยในอ้อมแขนมยังช้อนอุ้มร่างบางไว้แนบ อกไม่ยอมปล่อย
“หัวหน้าครับพอเถอะ อย่าทำแบบนั้นเลยนะ หัวหน้าปล่อยยุมาให้ผมเถอะครับ หัวหน้าตายไปแล้ว อย่าพายุไปด้วยเลย” เมฆตะโกนสุดเสียง ทำให้ร่างบางของหญิงสาว ค่อยๆ ลืมตาที่เปียกชุ่มด้วยคราบน้ำตา และเริ่มพรั่งพรูออกมาอย่างสะท้านสะเทือนใจกับสิ่งที่หล่อนไม่เคยคิดว่าจะได้รับรู้
“คุณดิษฐ์ มันไม่จริงใช่ไหมคะ? บอกยุสิคะคุณดิษฐ์ ว่าที่ยุเห็นมันไม่จริง กรุณาบอกยุหน่อย นะคะ” เสียงร้องร่ำไห้ของยุกันดาที่ถามคนรักอย่างกระท่อนกระแท่น ฟังแล้วเสียดแทงความรู้สึกของเมฆยิ่งนัก
“ยุครับ ทำใจดีๆ ไว้”เมฆร้องบอกอดีตแฟนสาวด้วยความสงสาร
“ไม่จริงคะเมฆ คุณดิษฐ์เขาไม่ได้ไปไหน เขายังคงอยู่ที่นี่ ใช่มั๊ยคะคุณดิษฐ์ ไม่จริงใช่ไหม เมฆโกหกยุใช่ไหมคะ” หล่อนหันไปเผชิญหน้ากับร่างที่ลอยเหนือพื้นตรงหน้า เลือดไหลเยิ้มไม่หยุด และไม่มีคำตอบใดๆ ออกมา “ไม่ ไม่จริ้ง เป็นไปไม่ได้ เป็นไม่...ได้ ฮื่อ ฮื่อ...คุณดิษฐ์” หล่อนตะโกนสุดเสียง ร่ำร้องออกมาเหมือนคนเสียสติก็ไม่ปาน
ยุกันดาสลัดข้อมือเบาๆ เพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา แล้วใช้มือนั้นโอบอุ้มไปที่ปลายคาง ไล้นิ้วมือปาดเลือดออกจากใบหน้า อย่างน่าเวทนา
“คุณดิษฐ์ คุณพายุไปด้วยนะคะ ได้โปรด อย่าทิ้งยุไว้ที่นี่คนเดียว ช่วยพายุไปยังที่ที่คุณจะไปนั้นด้วยนะคะ ได้โปรด....”
เมื่อสิ้นประโยคนั้นของยุกันดา ทั้งสองหนุ่มต่างเรียกชื่อหล่อนขึ้นพร้อมๆ กัน
“ยุกันดา!”
****************

โดย..เงาบุหงา

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่๗



บทที่ ๗
ณ บ้านพักตากอากาศริมเชิงเขา อากาศที่นี่ตอนย่ำรุ่งเย็นจัด บวกกับสายลมที่โบกพัดจนกิ่งไม้ไหวเอนไปมา เสียงกอไผ่เสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าดหวีดหวิวดูวังเวง นกปรอทเริ่มส่งเสียงแข่งกับจิ้งหรีดดังแว่วสอดรับกับเป็นทอดๆ อยู่ภายนอก ด้านในเงียบเชียบเพราะเครื่องปรับอากาศที่เปิดจนเย็นฉ่ำไปทั่วห้อง หญิงสาวพลิกร่างป้ายมือเปะปะเพื่อไขว่คว้าหาแผงอกกว้าง ที่กอดหล่อนอย่างอบอุ่นเมื่อคืน พยายามจะปรือตาที่หนักอึ้งนั้นขึ้น ก่อนจะปิดมันลงไปอีกครั้ง
“ฮื่อ..! ” หล่อนครางออกมาทั้งครึ่งหลับครึ่งตื่น หญิงสาวส่ายหัวไปมาเหมือนรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศ ร่างกายเหมือนล่องลอยเคว้งคว้าง หล่อนก็พยายามจะกลืนน้ำลาย
“คอแห้งสินะ?” เสียงของเขาแว่วมากระทบประสาทหูอย่างอาทร อยากจะลืมตามองใบหน้าคมเข้มนั้นนักแต่ทว่า เปลือกตามันหนักจนปรือไม่ขึ้น ม่านตาเปิดแง้มแค่นิดเดียวแล้วก็ต้องปิดมันลง ก่อนจะพยายามปรือมันขึ้นอีกครั้งอย่างยากลำบาก
หล่อนหรี่ตาหยีจนเห็นเขาลุกเดินไปที่โต๊ะ ยกเหยือกน้ำเทใส่แก้วแล้วดื่ม ก่อนจะเดินกลับมาหาหล่อนที่เตียง
ชายหนุ่มค่อยๆ ก้มใบหน้าลง เพื่อแนบริมฝีปากตนเองกับปากนุ่มละมุนของหล่อน เขากดปากแช่ไว้นิ่งนาน ก่อนจะถอนปากออกมา เพ่งตามองใบหน้าหล่อน รอยยิ้มแต้มที่มุมปากหยักได้รูปบางๆ
“ยุครับ..! เป็นยังไงบ้าง ค่อยยังชั่วไหม” เขาถามเมื่อเห็นหล่อนลืมตามองเขาตาแป๋ว แววตาใสซื่อจนเขาอดใจยื่นหน้าไปแนบใกล้ด้วยความรัก ส่ายหน้าซุกไซร้เบาๆ
“ยุคงม่อยหลับไป ใช่ไหมคะ” หล่อนถามและเลื่อนสายตามองออกไปนอกกระจก ยังเห็นว่าข้างนอกนั้นมืด แม้จะมีแสงสว่างรำไร แต่ก็เลือนรางเต็มที เขาเฉยไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา ยุกันดาปรายตามองใบหน้าของเขา ที่ผงกขึ้นมาลอยอยู่เหนือลำตัวหล่อนในตอนนี้
“ยังไม่เช้าเลยหรือคะ รู้สึกว่ามันตั้งนานแล้วนะคะ”หล่อนพึมพำถามเขาเบาๆ ก่อนจะทอดตามองออกไปอีกครั้ง
“ฮือ..! ใช่จ้ะ ราตรีนี้ยังอีกนาน เพื่อพวกเรา คืนนี้จะไม่รุ่งเช้าชั่วนิรันดร์ครับยุ”
เขาโน้มใบหน้าลงต่ำเพื่อควานหาริมฝีปากบางของหล่อน ที่ยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าเขาเอาไว้อย่างนุ่มนวล กอดกระชับรอบต้นคอ เปลือกตาหล่อนปิดลงอย่างเป็นสุขกับการสัมผัสของเขา กับคนที่รักและคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
แต่เขาอยากจะลืม ไม่อยากคิดว่าตนเองเป็นใคร ก่อนเขาจะดับชีวิตลง เขาคิดถึงยุกันดา และเหมือนคนนี้คนเดียวที่ยึดเขาให้กลับมาอีกครั้ง เพื่อยืดเวลาอยู่กับหล่อน จนทำให้เขาอยากลืมทุกอย่าง คิดแต่จะพาคนรักท่องวิมานอย่างไม่รู้เบื่อ
“ยุรักคุณค่ะ คุณดิษฐ์!”
“ผมก็รักคุณยอดรัก”
****************
เวลาเดียวกันที่วัดธาตุทอง
คืนแรกของการทำพิธีสวดอภิธรรมศพของ ดิษฐ์ ศิรชน ทางศาสนา แขกเหรื่อยังมีไม่เยอะนักเพราะคนยังไม่รู้ คืนนี้จึงมีแต่พนักงานของบริษัท ที่ต่างพร้อมใจกันมาครบทุกคน มีแขกต่างประเทศที่ทราบข่าวคราวมาร่วมงานบ้างแต่ประปราย
ทุกคนคาดว่าคืนพรุ่งนี้คงจะมีแขกมากันมากขึ้น เมื่อรู้และเห็นข่าวในจอทีวีและหนังสือพิมพ์กระจายออกไป
“ยุกันดาไม่ได้มาหรือเธอ” เพื่อนที่มาร่วมงานต่างก็ถามกันเอง เมื่อไร้เงาของหญิงสาวเจ้าของดวงใจของหัวหน้าหนุ่มหล่อ สีหน้าของแต่ละคนจึงต่างกังวลและเป็นห่วงเป็นใย ในการจากไปหนนี้ของเพื่อนร่วมงาน
“ทำไงได้ล่ะเธอ ยุเขาคงจะทำใจไม่ได้น่ะ ก็ทั้งสองรักกันจะขนาดนั้น ใครที่ไหนจะทำใจได้” เพื่อนร่วมงานอีกคนกล่าวอย่างเข้าใจ
“นั่นสินะ ป่านนี้ยุจะเป็นอย่างไรบ้าง น่าเป็นห่วงจัง”
แม้เสียงที่พูดออกมาจะไม่ดังนัก แต่เมฆก็ได้ยิน เพราะเขาก็คอยชะเง้อมองออกไปนอกศาลาบ่อยครั้ง เผื่อจะเห็นร่างบางของหล่อนปรากฏขึ้น
แต่..ก็ไร้ผล...
‘ยุกันดา ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ผมชักเป็นห่วงคุณแล้วสิ’
เขานึกจนพึมพำออกมาด้วยความห่วงใย ใบหน้าเริ่มแสดงความกังวลและเคร่งขรึม จะว่ายังไม่รู้ข่าวก็ไม่น่าเป็นไปได้ ชายหนุ่มเริ่มนั่งไม่ติดจนต้องลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก มองซ้ายทีขวาที พอดีกับที่พระสงฆ์เริ่มเดินเข้ามาในศาลา เขาจึงทรุดลงนั่งยองๆ ยกมือพนมจนพระสงฆ์ก้าวผ่านไป เขาจึงลุกขึ้นเดินตามเข้าไปนั่งที่เก่า
****************
ทางด้านบ้านพักตากอากาศชายเขา
ดิษฐ์ลูบไล้ฝ่ามือไปตามเรือนร่างของหล่อนอย่างทนุถนอม เขาใช้ปากอุ่นๆ ครอบครองปลายยอดอกเต่งตึงให้หายไปกับริมฝีปากของเขา ดึงดูดจนหญิงสาวแอ่นหลังเป็นแนวโค้ง ทรวงอกหยัดสูงให้อีกฝ่ายเชยชมอย่างถนัด
ฝ่ามือเขาเคล้าคลึงไปทุกตารางนิ้วก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากทรวงอกอิ่ม นั่นทำให้ยุกันดาหายใจอย่างกระหืดกระหอบ เมื่อเขาไล้ใบหน้าต่ำลงไปถึงหน้าท้องแบนราบนวลเนียน ร่างกายหล่อนไหวสะท้านหนาวยะเยือก ดุจจะเรียกความร้อนจากเรือนกายของเขาให้เลือดสูบฉีดเหมือนอยู่ในกองเพลิงเร่าร้อน เจ็บปวด ทรมาน ประหนึ่งว่าหากไม่ได้พากันท่องวิมานจะทำให้ขาดใจตายไปกระนั้น
“ยุครับ ผมมีความสุขจัง พวกเรารักกันมากขนาดนี้ ยอดไปเลยที่รัก...”
เสียงกระซิบของเขาดังกระเส่า ปลุกเร้าอารมณ์ของหล่อนจนทำให้ต้องครวญครางออกมา
“นั่นสิยอดรัก กอดคุณสักกี่ครั้งก็ยังไม่เคยพอ” ยุกันดากระซิบตอบริมกกหูของเขา
ความตึงแน่นด้วยวัยหนุ่มของเขาที่ครัดเคร่งกับเลือดเนื้อร้อนรุ่มของวัยสาวที่ขาวผุดผ่องเปิดเปลือย ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองนัก ด้วยเนื้อนวลของหล่อนปลุกกระแสเลือดลมความรู้สึกของเขาให้ปั่นป่วนอยู่ไม่น้อย
“สิ่งดีๆ แบบนี้จะยืนยาวถึงเมื่อไหร่กันนะ” ทั้งสองต่างพึมพำด้วยความร้อนของอารมณ์ที่รุมเร้าจนแทบจะเผาร่างให้มอดไหม้ ก่อนจะสะท้านไปกับรสสัมผัสของกันและกัน
ดิษฐ์โอบประคองร่างบางไว้ให้หล่อนนอนหนุนแผงอกกว้าง อย่างทนุถนอม ความรักของเขาที่มีต่อร่างบางในวงแขน นั้นมีมากเกินจะยื้อเอาไว้ เขาจะไม่จากหล่อนไปไหน จะคอยประคองกอดเอาไว้แบบนี้เรื่อยไป จะไม่ยอมให้ใครมาพรากเขาจากหล่อนไปเด็ดขาด
ยุกันดาเงยหน้าขึ้นมองสบตาคร้ามคมเข้มคู่นั้น แล้วก้มหน้าจุมพิตแผงอกกว้างแรงๆ และโอบมือกระชับพาดบนอกเขา แนบหน้ากดทับอีกที เมื่อความกังวลฉายชัดบนผิวหน้า หล่อนไม่อยากให้เขากังวลกับงานมากเกินไป
“คุณดิษฐ์คะ ตอนนี้จะเช้าหรือยัง ยุอยากเดินลงไปดูรอบๆ และสวนไม้ดอกจัง” ถามพร้อมกับพูดเปรยให้เขารับรู้
“ยังจ้ะ หากยุจะดู เราลงไปก็ได้ คืนนี้พระจันทร์ส่องแสงสว่างสวยงาม น่าจะเดินชมสวนเหมือน ไป” บทเขาจะไป ก็ลุกแล้วชวนดื้อๆ ส่งมือให้หล่อนฉุดตัวลุกขึ้นสวมเสื้อคลุม ก่อนจะประคองกอดกันเดินออกประตูไป
ฟิวส์ ว วูบ บ บ...
เมื่อประตูเปิด สายลมพัดผ่านเข้าปะทะลำตัวของคนทั้งสองอย่างแรง จนหญิงสาวต้องปล่อยมือที่เกาะแขนเขาออกมา เพื่อจับเสื้อคลุมและกระชับเข้าตัวอย่างเร็วด้วยความหนาวยะเยือก
“โบร๋น โบ๋ บรู๋ว ว ว โฮ่งๆ ๆ”
เสียงหมาเริ่มส่งเสียงหอนรับกันโหยหวน พร้อมสายลมที่พัดดังอื้ออึงมาเป็นระยะๆ
“หมาเยอะจังนะคะ แถวนี้” ยุกันดาเปรยออกมาดังพอได้ยิน เขาเอียงหน้ามองหล่อนนิ่ง ยิ้มระบายที่มุมปากหยักได้รูปชวนมอง
“กลัวหรือจ้ะ” เขาถามหล่อนกลับเหมือนหยั่งเชิง แต่หญิงสาวกลับยิ้มอวดฟันขาวใส่เขาและคล้องแขนเขากอดแนบลำตัว
“กลัวทำไมคะ มีคุณอยู่ด้วย ยุไม่กลัวอะไรทั้งนั้น” คำตอบของหล่อนทำให้เขาหยุดเดินและหันหน้ามาเผชิญก่อนจะโน้มปากมาแนบหน้าผากมนด้วยความรัก
“ชื่นใจจัง ยอดรักของผม ตราบใดที่ผมยังอยู่ จะไม่มีใครทำร้ายคุณได้” คำพูดของเขา
เหมือนเป็นคำมั่นสัญญาที่มีอานุภาพความขลัง ทำให้หล่อนดูมีพลังอย่างประหลาด
ดิษฐ์พาหญิงสาวเดินชมสวน ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง ที่ถูกแทรกแซงด้วยเสียงเห่าหอนของหมาบริเวณนั้นเป็นระลอกๆ
****************
วัดธาตุทอง
นี่ก็เป็นคืนที่สองของงานศพหัวหน้าแผนก แต่ที่วัดก็ไร้เงาของยุกันดา
เมฆเป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนสาวจะเป็นอะไร เมื่อกลับบ้านเขานอนไม่หลับ จนต้องลุกขึ้นขับรถออกไปหาที่คอนโดห้องชุดของทั้งคู่ที่ใช้เป็นรังรัก เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าหล่อนอยู่กินยังไง ทำไมไม่ไปงานสวดศพ หรือว่าหล่อนจะไม่สบาย ยิ่งเมื่อวานนี้เขาทำงานแทบจะไม่รู้เรื่อง บวกกับเพื่อนๆ ต่างช่วยกันพูดและเร่งเร้าให้เขาขับรถมาดู
เอี๊ยด...
เขาขับรถไปจอดสนิทตรงช่องทางด้านขวา ก่อนจะผลักประตูให้เปิดออกด้วยความรีบร้อน และผลักปิดอย่างแรง และถลาร่างเข้าไปกดลิฟต์ด้วยความร้อนรน เพราะความห่วงใยในตัวอดีตแฟนสาวจนแทบทนไม่ไหว ลิฟต์จอดตามชั้นที่เขากด เมฆเดินเร็วๆ ไปกดกริ๊งหน้าห้อง
ติ๊งต่อง....
เขากดออดหน้าห้องถี่ๆ ด้วยอาการร้อนรน
ติ๊งต่องติ๊งต่อง...
เงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวด้านใน ทำให้เขาเริ่มใจเสีย ระรัวกดกริ่งหน้าห้องสุดท้ายเขากดแช่ไว้ อีกมือก็ทุบรัวเสียงดัง
ปัง ปังๆ
‘หวังว่าคงไม่ได้ฆ่าตัวตายตามนะ’ ใจเขาคิดไปสารพัดเมื่อยังไม่มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
“ยุ ยุกันดา ออกมาเปิดประตูให้ผมหน่อย อยู่ไหมยุ” เขาเรียกและถามเสียงดัง แต่ก็ยังไร้วี่แววจนต้องเอื้อมมือหมุนลูกบิดประตู
แอ๊ดดด...
เปิดได้ !
ภายในห้องเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงาน ชายหนุ่มเริ่มใจชื้นขึ้น เพราะคิดว่า ยังไงก็ต้องมีคนอยู่ข้างใน เขาผลักประตูออกจนกว้าง และเดินเข้าสำรวจภายในไปตามห้องต่างๆ แต่ไร้เงาของเจ้าของบ้านสาว เมฆสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ห้องอีกครั้งก่อนจะสาวเท้าเข้าห้องกินข้าว
อุบ๊ะ!
เขารีบยกมือขึ้นอุดปากปิดจมูกเอาไว้ เมื่อกลิ่นอาหารบูดเน่าโชยเข้าหาอย่างแรง และล้วงมือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพื่อปิดจมูกกลั้นลมหายใจเอาไว้แล้วค่อยๆ ผ่อน ก่อนจะเดินไปชะโงกหน้าใกล้ๆ แต่แล้วก็รีบเดินเร็วๆ ออกไปปิดประตูตาม
เขาหลับตาแน่นเพื่อสะกดกลั้นอาการผะอืดผะอมมวนในช่องท้องที่พากันตีขึ้นจนต้องผวาไปที่ห้องน้ำโก่งคออาเจียนของเก่าออกมาจนหมดทั้งน้ำหูน้ำตา
“อ๊วกกก !”
เมื่อปล่อยของเก่าออกไปจนหมดแล้ว เขาเปิดน้ำบ้วนปากวักน้ำใส่หน้าและยืนอิงข้างฝาหายใจแรงๆ ด้วยความเหนื่อยหอบ
“ยุกันดา คุณไปไหนนะ” เขาถามกับตัวเองเบาๆ สาวเท้าออกมาเริ่มเดินไปเรียกไปเสียงดัง
“ยุ ยุครับอยู่ไหน คุณช่วยกรุณาส่งเสียงหน่อยได้ไหม ขอร้องละยุ”
เงียบ...ไม่มีเสียงใดๆ สอดแทรกขึ้นเลย เมฆทอดสายตามองไปทางห้องรับแขก ในใจก็คิดถึงอาหารที่ยังอยู่เต็มจานบนโต๊ะ เหมือนว่ายังไม่มีใครกิน จนบูดเน่าส่งกลิ่นตลบอบอวล ผักก็เหี่ยวแห้งเพราะเครื่องปรับอากาศยังทำงานตอนเขาเข้ามา โต๊ะอาหารก็ยังไม่มีการนั่ง แชมเปญก็ยังแช่อยู่ในถัง แม้จะไม่มีน้ำแข็งแล้ว
‘เอ๋ บ้านตัวเองก็ไม่อยู่ ติดต่อก็ไม่ได้ หากไม่หมดอาลัยตายอยากอยู่คนเดียวจนตายตามก็ ทำไมไม่ขานรับบ้างนะยุ’
เมฆเดินบ่นพึมพำและเริ่มตรวจดูไปทุกห้องทุกจุดของบ้านอีกครั้ง
‘ยุ คุณไปไหนนะ’ เขาเดินออกมาห้องนั่งเล่น ที่ตรงนั้นยังมีอัลบั้มรูปถ่ายกางแผ่หลาอยู่บนพื้นใกล้เบาะรองนั่ง เขาไม่ทันสนใจเดินข้ามมันไป
แต่ทว่า..!
อัลบั้มกลับพลิกไปอีกด้าน จนเขารีบหันกลับมามอง
มันเปิดอยู่..!
เมฆก้มลงมองไปใกล้ๆ รูปที่เปิดอ้าออกนั้น เป็นรูปบ้านริมเชิงเขาที่ร่มรื่นน่าอยู่ มีธรรมชาติล้อมรอบ ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย เขาทำท่าจะหันกลับไปทางเก่า แต่แล้วในวินาทีนั้น...!
รูปในอัลบั้มนั้นมีความเคลื่อนไหว เขามีความรู้สึกว่า มีคนเดินผ่านหน้าประตู แต่อยู่ในรูป ขาเขาทรุดลงนั่งมองอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง จนต้องยกมือขยี้ตาแรงๆ ก่อนจะเพ่งมองให้แน่ใจอีกรอบ
“ยุกันดา..!” ชายหนุ่มเบิกตาจนกว้าง อกใจหวั่นระทึก สมองเขาเริ่มคิด
‘ทำไมยุกันดาไปอยู่ในรูปล่ะ’ มือไวเท่าความคิด เขารีบพลิกดูรูปอื่นๆ ช้าๆ
โอ้ ให้ตายเถอะ !
นี่เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม?
ยุกันดาเดินอยู่ในรูปที่เขาถือ...
มันเป็นไปได้ยังไง..?
มือเขาเริ่มสั่นจนไม่มีแรงจับ..รูปแต่ละแผ่นเริ่มพลิกไปเองอัตโนมัติ
“ยุกันดา. ยุกันดา ” เขาเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดัง
“เอ๋...!” ได้ผล ร่างบางของหญิงสาวชะงักก้าวอยู่กับที่ ก่อนจะหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อมองหาต้นเสียง
“ยุกันดาๆ..” เมฆละล่ำละลักเรียกซ้ำๆ อีกหลายครั้ง ร่างนั้นหมุนซ้ายแลขวาเพื่อมองหาคนเรียก แต่ก็เหมือนหล่อนไม่เห็นเขา ชายหนุ่มมองสถานที่ในรูปภาพอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วผลุนผลันเดินออกไปด้วยความเร็ว
****************

โดย..เงาบุหงา

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่๖



บทที่  ๖
แกร๊ก...
ดิษฐ์ไม่พูดไม่จาเขาพาหล่อนมาขึ้นรถส่วนตัวที่จอดรออยู่แล้ว พร้อมเปิดประตูให้ดันร่างบางให้ขึ้นนั่งจนเรียบร้อย
“เป็นอะไรไปคะคุณดิษฐ์ ทำไมถึงรีบร้อนแบบนี้ล่ะ” ยุกันดาถามเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา หล่อนยังไม่เคยเห็นเขาทำอะไรปุบปับแบบนี้มาก่อน
แต่เขานิ่งเงียบ ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มซีดและเคร่งขรึมดูน่ากลัวในสายตาหล่อน เขายืนโงนเงนหลับตาลงใบหน้าบูดเบี้ยว เหมือนพยายามจะฝืน ยุกันดาตกใจ ต้องรีบผวาเข้าประคองดวงหน้าเขาไว้ถามเบาๆ
“อ๊ะ..! คุณดิษฐ์ไม่สบายหรือคะ หน้าคุณซีดจัง” เอ่ยถามด้วยความอาทร ก่อนจะจับศีรษะเขาให้อิงพนักหลัง เขาคงจะเหนื่อยหนักกับงาน หล่อนมองเขาอย่างสำรวจนิ่งๆ และสงสารเขาจับใจ
“เปล่าจ้ะ..” ตอบหล่อนแล้ว ใบหน้าเขาก้มต่ำลงนิดๆ แต้มยิ้มอ่อนๆระบายไปทั่วหน้าเมื่อลืมตามาเห็นสายตาของหล่อนที่มองอย่างห่วงใย “ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นอะไรและผมจะไม่เป็นหากมีคุณใกล้ๆ แบบนี้” เขาดึงหล่อนเข้าไปกอด เมื่อจบประโยคนั้นอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา หลับตาลงเหมือนจะปิดกั้นความเหน็ดเหนื่อยนั้นเอาไว้คนเดียว
“คุณดิษฐ์” หญิงสาวเรียกเขาเบาๆ และอิงหัวกับอกอุ่นหนาของเขา หล่อนหลับตาลงอย่างมีความสุข
โอ้! คุณพระช่วย ถ้าหากหล่อนไม่หลับตาลง และชะเง้อหน้าไปสังเกตนายยิ่งสักนิด คงจะตกใจจนหัวใจอาจจะวายเป็นแน่ กับการที่เขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยใบหน้าชโลมไปด้วยเลือดที่ไหลย้อยเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว...

เมื่อเจอทางแยก นายยิ่งก็เลี้ยวซ้ายขับเข้าไปอีกไม่นาน  สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นเป็นแถวยาวทึบ และลึกพอสมควร ด้านหน้าเป็นกระท่อมทรงทันสมัยสวยงาม ที่ตั้งโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟอยู่กลางป่า ชายหนุ่มลงไปก่อนจะยื่นมือมาให้หล่อนจับ แล้วก้าวลงตามไปยืนข้างๆ เขามองกระท่อมแล้วหันมาก้มมองหล่อนด้วยใบหน้าระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะดึงมือให้เดินตามเขาเข้าไปข้างใน
ยุกันดาตื่นเต้นเมื่อเห็นภายใน สายตามองกวาดสำรวจการตกแต่งอย่างทึ่งกับการดีไซน์  เขาเดินแยกไปริมหน้าต่างก่อนจะดันให้มันเปิดออก เพื่อรับบรรยากาศในยามค่ำคืนด้วยฟังเสียงจักจั่นร้องเพลงคลอไปกับความเงียบสงัด วังเวง แต่ไม่น่ากลัว หล่อนคิดว่าเป็นสวนพฤษชาติมากกว่าเรือนพัก
“อุ๋ย..! สวยมาก ดูโรแมนติกจังเลยนะคะ” หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเบิกโตกับภาพและบรรยากาศรอบๆ “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าในป่าซึ่งอยู่ห่างไกลชุมชนมานี่ จะมีเรือนน้อยน่ารักปลูกอยู่ด้วย” น้ำเสียงที่กล่าวเหมือนยังระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ได้
“เดินดูรอบๆ สิยุ ที่นี่ผมซื้อเอาไว้นานแล้ว กะว่า สักวันเมื่อมีครอบครัว ผมจะพากันมาที่นี่ในวันหยุดสุดสัปดาห์” เขาอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น
หญิงสาวเดินสำรวจความงดงามด้านในอย่างถูกอกถูกใจกับข้าวของที่เขาสั่งให้คนตระเตรียมไว้ เพื่อมาฉลองกันตามประสาคู่รัก แม้แต่แชมเปญก็มีวางแช่อยู่ในถังอย่างสวยงาม พร้อมและรอให้เขาเปิด
ยุกันดาเดินไปมองที่โต๊ะอาหาร “ต๊าย ! มีแต่อาหารน่าทานทั้งนั้นเลยนะคะคุณ” ปรามกับเขาด้วยน้ำเสียงทึ่งกับสิ่งที่เขาเตรียมไว้
“ผมโทรมาสั่งแม่บ้านว่า ให้เตรียมอาหารและทุกอย่างให้พร้อม ผมจะเซอร์ไพร๊คุณคืนนี้” เขาเข้ามาโอบกอดเธอทางด้านหลัง กระซิบที่กกหูก่อนจะใช้ริมฝีปากงับ จนหล่อนขนลุกห่อไหล่เข้าแล้วซัดเขาด้วยกำปั้นเบาๆ
“ยอดไปเลยนะคะ เลิศหรูมาก” บอกเขาด้วยใบหน้าและรอยยิ้มที่สดใส
ดิษฐ์พาหล่อนมานั่งเก้าอี้ที่เขาเลื่อนรอ เพื่อให้หล่อนนั่ง แล้วเดินไปหยิบขวดแชมเปญเปิด รินใส่แก้วถือเดินตรงมาที่หล่อน ก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากบางหล่อนแผ่วเบาแล้วค่อยๆ เลื่อนแก้วแชมเปญให้
“เอาล่ะ  เรามาเริ่มฉลอง เพื่อคุณกับผมและครอบครัวของเรากันเถอะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล
ยุกันดายิ้มแก้มแทบปริเพราะหล่อนคิดว่า เลือกคนไม่ผิด เพราะเขาเป็นคนอ่อนโยนแบบนี้เอง  ตั้งแต่อยู่กับเขา ดูหล่อนมีชีวิตชีวาด้วยความสุขมาก
“ค่ะคุณดิษฐ์”
ดิษฐ์ยิ้มด้วยดวงตาพราวฉ่ำ ดูหวานหยาดเยิ้ม
“ยุกันดา! คุณจะอยู่กับผมไปชั่วนิรันดร์ไหมครับ? ” เขาถามหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกายตลอดเวลา
“เอ๋!...” ยุกันดาเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างค้นคว้า ใบหน้าระเรื่อเมื่อเจอสายตาเจ้าชู้ของเขาที่มองอยู่
“ผมรักคุณ และไม่ต้องการมีใครอื่น นอกจากคุณเท่านั้น คุณคนเดียวที่ผมคิดถึงและอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา”  เขาบอกต่อด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนฟัง ใบหน้าคมคายระบายยิ้มทั่วหน้า แววตามั่นคงเปล่งประกายระยิบระยับแข่งกับแสงไฟ ทำเอาหล่อนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“นี่คือการขอแต่งงานหรือเปล่าคะ” หล่อนถามเมื่อเขาลุกมาขอมือเธอแล้วดึงให้ลุกขึ้น เมื่อเสียงเพลงบรรเลงแว่วดัง หล่อนไม่รู้ว่าเขาเดินไปเปิดเครื่องเสียงตอนไหน เพราะไม่มีเวลาสงสัยมากนัก เมื่อมือเรียวงามถูกเขาสานทับด้วยฝ่ามือของเขา แล้วจับเอวพาหล่อนล่องลอยไปบนพื้นห้องนั้นด้วยดวงใจที่มีความสุขจนแทบล้นทะลักออกมา  หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างชื่นชม
“อื้อ..!” เขาครางในลำคอ มุมปากมีรอยยิ้มแต้มอย่างมีเสน่ห์ “คุณคิดว่าไงล่ะครับยุ” เขาย้อนถามกลับมา
“ดีใจจังเลยค่ะคุณดิษฐ์” ยุกันดากระซิบกับอกเขาเมื่อเพลงเปลี่ยนมาเป็นจังหวะนุ่มนวลช้าๆ เขาหยุดก้าว จับใบหน้าหล่อนให้หันมาแล้วจ้องลึกเข้าในดวงตา เพื่อรอคำตอบ “แน่นอนค่ะคุณดิษฐ์ ยุจะอยู่กับคุณไปชั่วนิรันดร์” หญิงสาวหลับตาเมื่อรับจุมพิตแสนหวานอย่างอ่อนโยนจากเขา ที่บรรจงจูบหล่อนด้วยความดื่มด่ำ
“ยุจะเป็นของคุณชั่วนิรันดร์” หล่อนย้ำอย่างแผ่วเบา
ดิษฐ์รับขวัญหล่อนจนพอใจแล้ว ก็เริ่มพาเท้าทั้งคู่ลอยละล่องอีกครั้ง เขาและหล่อนปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเสียงดนตรีบรรเลงเพลงวอลท์ซที่ดังแว่วพอได้ยินไปรอบๆ ห้อง
ยุกันดาปล่อยให้เขานำทางอย่างช่ำชอง หล่อนก็เป็นผู้ตามที่ดีจนเคลิ้มๆ และอย่างแผ่วเบา เมื่อเขาช้อนร่างของหล่อนลอยขึ้นพาไปวางที่เตียงนุ่ม
 ดิษฐ์ปิดปากหล่อนด้วยริมฝีปากที่เร่าร้อนชวนหลงใหลแสนหวานละเรื่อยไปตามซอกคอ เลื่อนต่ำลงไป เสื้อผ้าที่หล่อนสวมใส่ถูกเขาปลดออกอย่างแผ่วเบา
ยุกันดาเย็นวาบไปทั้งกาย
“ผมรักคุณยุกันดา ผมอยากไปหาพ่อแม่คุณ แล้วขอขมาที่ทำเหมือนข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่ ท่านจะเรียกร้องอะไร เท่าไหร่ ผมยอมทุกอย่าง ขอเพียงอย่าพรากคุณไปจากผมก็เพียงพอแล้ว” ดิษฐ์บอกด้วยน้ำเสียงกระเส่า
หญิงสาวไม่ตอบ แต่ในใจลึกๆ หล่อนมีความสุข เคลิบเคลิ้มจนลืมหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
ความโหยหา เร่าร้อนในอารมณ์พิศวาสของดิษฐ์กับรสสัมผัสที่เคยได้รับจากเขา ยังคงกรุ่นค้างคาในใจของหญิงสาวมาเนิ่นนาน หล่อนยอมรับกับตัวเองว่า ใจถวิลหามันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ยุกันดากายสะท้านหวิวไหว..กับทุกสัมผัสที่เขากำลังล่วงล้ำไปตามเนื้อตัวตัว หญิงสาวโอนอ่อนผ่อนตามเขาไปหมดด้วยความรักที่มีอยู่ภายใน กับความปรารถนาแห่งใจที่จะใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับเขาอย่างเปิดเผยทุกที่ ที่เขาอยู่
“ที่รัก..! คุณคือเนื้อคู่ของฉัน ฉันจะรักคุณชั่วนิรันดร์”
หญิงสาวบอกเขาแผ่วเบา มือก็โอบไปรอบต้นคอแข็งแรง กระซิบตามจังหวะบทรักที่เขานำมาปรนเปรอ
****************
ในขณะเดียวกันที่ อาคาร พีเอช ทาวเวอร์
ผลัวะ...
ประตูถูกผลักเข้ามาด้วยฝีมือของบอสใหญ่อย่างแรง ความตกใจ อารมณ์จึงยังปรับไม่ได้
“ทุกคนฟังนะ เมื่อวานนี้ผู้จัดการแผนกต่างประเทศ ดิษฐ์ ศิรชน ประสบอุบัติเหตุรถที่นั่งมาประสานงากับสิบล้อพ่วงบนทางด่วนตายคาที่ เมื่อช่วงหัวค่ำวานนี้ระหว่างทางกลับบ้าน
“ห๊า! อะ อะไรนะครับ? บอส ช่วยกรุณาพูดใหม่อีกทีสิครับ”
เมฆซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับประตู ย้อนถามด้วยน้ำเสียงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทำให้เขาต้องทวนถามใหม่อีกรอบอย่างไม่เชื่อหู นั่นทำให้เพื่อนๆในแผนกของเขา ต่างเดินมาออกันหน้าโต๊ะที่เขานั่ง เพื่อฟังประโยคนั้นอีกรอบอย่างละเอียด
“เมื่อวานนี้ เกิดเหตุรถชนกันบนทางด่วนพระรามเก้า เป็นการประสานงากันระหว่างรถเก่งกับรถสิบล้อพ่วง เป็นเหตุให้คนที่นั่งมากับรถเก่งตายคาที่ นี่ข่าวร้อนเมื่อคืน ไม่มีใครได้ดูทีวีหรอกเหรอ ระหว่างทางกลับจากสนามบินน่ะ”
บอสจบคำพูดด้วยการถามแล้วหันหลังจะกลับออกไป แต่ก็หันมาบอกอีก
“หัวหน้า ดิษฐ์ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน บริษัทของเรารับเป็นเจ้าภาพจัดงานศพนี้ให้ จึงอยากขอให้ทุกคนร่วมมือและไปฟังการสวดอภิธรรมอย่างพร้อมเพรียงด้วย”
ทุกคนในบริษัทเบิกตาโตกับข่าวที่ได้ฟัง ต่างตกใจกับข่าวใหม่ที่ชวนเศร้าหมอง บ้างก็รอหนังสือพิมพ์ช่วงบ่ายอย่างใจจดจ่อ แต่ละคนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และไม่อยากจะเชื่อกับข่าวที่ออกมามากนัก
“อะไรกัน! ยุกันดาก็น่าสงสารน่ะสิแบบนี้” เพื่อนๆ ต่างแสดงความเป็นห่วงทั้งคู่ออกมาต่างๆ เมฆเองเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้วในตอนนี้
‘ยุกันดา เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ’
รำพึงแผ่วเบากับความโชคร้ายกับชะตาชีวิตของสองคน เมื่อคืนนี้เขาโทรไปหาหล่อนก็ไม่มีอะไร และหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรเลย หรือว่าตอนนั้นอุบัติเหตุยังไม่เกิด
ชายหนุ่มนั่งครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะยื่นมือไปคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่บ้านหล่อน
กริ๊ง กริ๊งง..
เงียบ..ไม่มีการตอบรับ...
‘หรือจะออกไปรับศพหัวหน้า ’

****************

โดย..เงาบุหงา

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่๕


บทที่ ๕
บ้านพักตากอากาศริมทะเลนอกเมือง ๒๐.๔๕ น.
ยุกันดานั่งมองนาฬิกาที่เดินอย่างเชื่องช้าด้วยความกระวนกระวาย กับการมาผิดเวลาของเขา ปรกติดิษฐ์จะไม่เคยก่ะเวลาผิด แม้ผิดก็ต้องโทรมาบอก แต่นี่เงียบไปเลย เวลาก็เลยมากมากแล้ว
‘คุณดิษฐ์มาช้าจังเป็นอะไรหรือเปล่านะ นี่ก็เลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้ว จะว่ารถติดก็ไม่น่าจะใช่ ยังไงเขาก็น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง’ คิดฟุ้งซ่านในใจไปเรื่อย หญิงสาวลุกไปที่โทรศัพท์ หยิบมันขึ้นมากดหาเบอร์เขา แต่ติดต่อไม่ได้เหมือนโทรศัพท์โดนปิดเครื่อง กวาดตามองหาสมุดโทรศัพท์เพื่อจะค้นเบอร์ของนายยิ่ง เมื่อเจอก็กดไปทันที
ติ๊ด ติ๊ด..
ติดต่อได้ สัญญาณปลายสายว่าง แต่ไม่มีผู้รับสาย ‘เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ’
ติ๊ด ติ๊ด..กิ๊ก..! คล้ายกับสัญญาณโดนตัด ยุกันดาเริ่มนั่งไม่ติด ลุกขึ้นเดินไปมา ใบหน้ามีแววกังวล ในใจก็รุ่มร้อนอย่างช่วยไม่ได้
หวิว ...
หญิงสาวชะโงกหน้าออกไปมองด้านนอกหน้าต่าง ค่ำนี้ลมพัดแรงจัง เมฆดำมะเมื่อม หน้าต่างถูกลมตีเข้าเบียดกับเหล็กคล้องดัง เอี๊ยดอ๊าดๆ
เพล๊ง....
ร่างบางสะดุ้ง รีบหันไปมองที่มาของเสียง ก็เห็นกรอบรูปเขาที่วางไว้บนตู้เย็นใกล้กับขอบหน้าต่าง ตอนนี้ตกลงมากระจกแตกจนหล่อนต้องเดินเข้าไปเก็บและทำความสะอาด กวาดเอาทรายที่หกมากองบนพื้นนั้นด้วยที่โกยขยะ แล้วลุกเดินไปปิดหน้าต่างบานนั้นเสีย
ใบหน้าหล่อนในยามนี้ มีร่องรอยความกังวลฉายชัด แหงนหน้ามองนาฬิกาอีกรอบ ขณะนี้เวลา ๒๑.๐๕ น. เท้าไวเท่าความคิด หล่อนลุกขึ้นเดินเข้าในห้องอย่างร้อนรน ในใจก็คิดไปสารพัด
‘เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ โทรไปตั้งหลายรอบก็ไม่รับสาย ถึงแม้รถจะติด แต่ก็ไม่น่าเสียเวลามากขนาดนี้ หรือว่าเกิดอุบัติเหตุ? ’ รีบหลับตาลงสลัดศีรษะแรงๆ เพื่อขับไล่ความคิดนั้นให้พ้นออกไป หล่อนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ใจก็คิดอยากโทรสอบถามข่าวเรื่องอุบัติเหตุ แต่ไม่รู้ว่าจะโทรไปที่ไหน ครั้นจะโทรถามเมฆก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะรู้ ยุกันดาหันซ้ายหันขวานั่งและยืนไม่ติดที่แล้วเวลานี้
ติ๊งต่อง....
ร่างนั้นสะดุ้งก่อนจะถลาไปที่ประตู เปิดมันออกอย่างรีบร้อน
ผลัวะ...
ใบหน้านั้นระบายยิ้มจนแก้มแทบปริ ด้วยความดีใจกับภาพตรงหน้า ที่เห็นว่าเป็นใครก่อนเดินเข้าไปใกล้ หยุดมองเขาด้วยหัวใจเต้นระทึก
ในยามนี้ ใบหน้าของเขาที่เหม่อมองออกไปข้างนอก ปะทะกับแสงไฟเกิดประกายระยิบระยับแสนงดงาม แต่เงียบขรึม เศร้าสร้อย เหมือนคนแสนเหงา ว้าเหว่ ก่อนเบือนมาเห็นว่าหล่อนยืนมองไม่ห่าง เขาก็หันมาทางหล่อนทั้งตัวแทน
“คุณดิษฐ์” หล่อนเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “มาช้าจังเลยนะคะ รู้ไหม ฉันเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ” ทักทายด้วยเสียงละห้อยก่อนเดินเข้าไปกอดเขาไว้ และเขาก็กอดตอบหล่อนเช่นกัน
“คิดถึงคุณมากรู้ไหม ยุกันดา”
“ค่ะ ยุก็คิดถึงคุณมากเหมือนกัน” พูดแล้วเงยหน้ามองเขา หล่อนเห็นใบหน้าคร้ามคมนั้นซีดเผือด จึงอดถามเขาไม่ได้ “คุณเป็นอะไรไปคะ ทำไมหน้าซีดจังเลย ไม่สบายหรือเปล่า งั้นเข้าข้างในเถอะค่ะ” หล่อนคล้องมือลงในวงแขนของเขา ที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ ก่อนออกแรงรั้งเขาเข้าบ้าน ร่างหนาไม่ขยับ แต่ขืนร่างกายเอาไว้อย่างไม่อยากขยับไปไหน ยุกันดางุนงงกับท่าทีของเขา
“เหนื่อยหรือเปล่าคะ” ถามเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองสำรวจอีกครั้ง ก็เห็นความอิดโรยฉายชัดบนใบหน้าคร้ามเข้ม
“ยังไม่เข้าดีกว่า เรายืนรับลมตรงนี้กันสักครู่เถอะนะที่รัก” เขากล่าวออกมาเสียงไม่ดังนัก คราวนี้หญิงสาวมองเขาอีกครั้งอย่างสงสัย แต่ยังไม่ทันได้ถาม เขาก็เอ่ยชวนมาก่อน
“เราไปข้างนอกกันไหมครับยุ” เมื่อเอ่ยมาแล้ว เขาก็จ้องมองดวงตาหล่อนอย่างเหงาๆ ริมฝีปากเม้นเป็นเส้นตรง ใบหน้ากังวลเหมือนคอยคำตอบ
“เอ!” หล่อนยิ่งงงหนัก กับท่าทีที่แสดงออกมาของเขา
“ผมอยากพักผ่อนและอยู่กับคุณสองต่อสอง เรามีบ้านพักอีกที่หนึ่ง ที่เป็นธรรมชาติกว่าที่นี่ ผมอยากพาคุณไปที่นั่นมากกว่า บ้านหลังนั้นติดกับชายเขา แถวนั้นอากาศดีไม่เหนียวตัว ผมบอกให้เขาทำความสะอาดไว้ให้แล้ว เสร็จจากงานผมขอลาพักร้อนเดือนครึ่ง เพื่อจะได้ใช้วันหยุดอยู่กับคุณ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป” ชายหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาของหล่อนหวานซึ้ง ก้มหน้าลงปิดปากหล่อนด้วยริมฝีปากเขาอย่างเร่าร้อน เรียกร้องในที
“ค่ะ แล้วเราจะไปกันตอนนี้เลยหรือคะ ในเมื่อยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย” ถามด้วยความแปลกใจ
“ใช่แล้วจ้ะ ไม่ต้องเตรียมหรอก ที่โน่นมีเยอะแยะ” เขารีบอธิบายให้หล่อนเลิกกังวล
“แต่ว่า.ยุเตรียมอาหาร และแชมเปญฉลองเอาไว้นะคะ” หล่อนท้วงเขาเบาๆ แต่เขาไม่ฟังทั้งเตรียมตัวเดิน แขนหล่อนรั้งเอาไว้ ก่อนจะทอดสายตามองไปที่โต๊ะอาหาร ก่อนปลดมือออกจากแขนเขา
“เดี๋ยวนะคะ ขอยุเอาใส่ตู้เย็นก่อน” บอกทั้งเตรียมหมุนร่างไปทางโต๊ะอาหาร
“ยุกันดา.” เขาเรียกหล่อนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง มือก็เอื้อมมารั้งแขนนวลเอาไว้ “ขอร้องล่ะยุ เราออกไปกันตอนนี้เลยดีกว่า ผมใจร้อน” เขาไม่สนใจว่าหล่อนจะมีสีหน้าอย่างไร เมื่อรั้งร่างบางให้เดินตาม แต่หญิงสาวเห็นสีหน้าของเขาดูร้อนรน คิ้วหนาเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนเขาต้องการจะหนีอะไรสักอย่าง ที่หล่อนไม่รู้ว่าคืออะไร
“คุณดิษฐ์..! เดี๋ยวสิคะ ล็อคประตูก่อน” เรียกเขาไว้ และไม่พูดเปล่า เมื่อมือนั้นพยายามจะคว้าเอาพวงกุญแจไว้ แต่ก็คว้ามาไม่ได้ เมื่อเขาออกแรงดึงหล่อนออกมาจากจุดนั้นอย่างรีบร้อน พวงกุญแจตกเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้หล่อนก้มเก็บ
“คุณดิษฐ์”

โดย..เงาบุหงา

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่ ๔


ตอนที่ ๔ ประสบอุบัติเหตุ
บนทางด่วนสายดอนเมือง-สุทธิสาร ช่วงเวลา 16.30 น. วันนี้รถไม่ติดอย่างที่เคย ดิษฐ์ทอดสายตามองฝ่ากระจกใสออกไปข้างนอก ดูตึกรามบ้านช่องไปเรื่อย ก่อนจะพาดวงใจลอยละล่องไปหาคนรักด้วยความร้อนรุ่ม หัวใจเต้นเสียงดังจนแทบจะออกมาอวดคนขับ เพราะความคิดถึงยุกันดา อยากเจอ อยากกอดให้หายคิดถึง เขาซื้อของชอบสำหรับผู้หญิงไว้ให้หล่อนมากมายหลายอย่าง 
นายยิ่งขับรถฉิวเหมือนรู้ใจนายหนุ่ม แต่ก็พยายามไม่ประมาท ตั้งแต่เขาเห็นนายหนุ่มกับคุณผู้หญิงอยู่กินกันนั้น ไม่เคยมีวันไหนที่ทั้งสองจะห่างกัน เพิ่งครั้งนี้ครั้งแรกก็ว่าได้ เพราะหน้าที่การงาน จึงยากจะปฏิเสธ 
**************** 
ยุกันดาเงยหน้ามองนาฬิกาอย่างตื่นเต้น อีกห้านาทีก้อจะสองทุ่มแล้ว หล่อนลุกขึ้นเดินไปสำรวจอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกรอบ และรอเขามาเท่านั้น 
กริ๊ง กริ๊งๆ 
‘คุณดิษฐ์..’ เมื่อคิดอย่างนั้น หญิงสาวก็ถลาไปที่โทรศัพท์ทันที 
“ฮัลโหล คะ ” รีบกรอกเสียงลงไปอย่างร้อนรน
“ไง..! ยุ” เสียงทักทายมาแบบนี้ หล่อนจำได้ดี ยุกันดาถือหูโทรศัพท์ค้างอย่างผิดหวังในใจ และไม่คิดว่าจะเป็นเขาไปได้ 
“เมฆ..! ” เสียงเรียกเบาลงอย่างผิดหวัง “มีอะไรเหรอ นึกยังไงถึงโทรมาได้” เอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“อ้อ..เปลาจ้ะ ผมจะโทรมาบอกว่า พอดีนั่งจัดบ้านแล้วเห็นอัลบั้มของยุเข้าน่ะ” เขารีบอธิบาย 
“อัลบั้ม? อัลบั้มอะไรคะ เมฆ ” หล่อนทวนคำก่อนจะถาม 
“ฮื่อ ก็อัลบั้มตอนเรียนจบของพวกเราไงละ เมื่อตอน ม.ปลาย มีของคุณปนมากับของผมด้วย ที่พวกเราจัดทำกันเป็นของระลึก ผมเลยโทรมาถาม เผื่อว่าคุณอยากจะเก็บเอาไว้เอง” 
“ฮืม..ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพยักหน้า โดยที่เขาไม่เห็น 
“ได้เลยเอาไงดี ผมเอาไปฝากกับคุณดิษฐ์ ให้เขานำกลับไปให้ดีมั๊ย หรือจะให้ส่งไปให้ดี” เขาถามมาอีก 
“งั้นรบกวนส่งมาให้ทีนะคะเมฆ เมื่อไหร่ก็ได้ ” หล่อนบอกความจำนงแก่เขา
“โอเคงั้นจะส่งไปให้เลย ส่งไปตามที่อยู่บ้านเขาใช่มั๊ยครับ ” ย้ำถามให้แน่ใจ แม้จะแสลงอยู่บ้าง 
“ฮื่อ.ค่ะเมฆ” 
“งั้นแค่นี้นะยุ ขอให้มีความสุขมากๆ ผมไม่รบกวนแล้ว ดูแลตัวเองด้วย” 
ติ๊ง.. 
เขาวางสายไปแล้ว หล่อนนั่งคิดทบทวนเรื่องราวระหว่างที่คบกัน เพราะเมฆเป็นคนรักคนแรกตั้งแต่เรียนในรั้วมหา,ลัยฯ รู้จักกันมานาน ทำงานยังทำที่เดียวกัน เพราะหล่อนกับเขาไม่เคยห่างหรือแยกกันเลย มีแต่สนิทสนมกันเสมอ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็เห็นดีด้วย จวนจะมีงานแต่งเกิดขึ้นอยู่แล้ว ตามที่กำหนดเอาไว้ จนกระทั่ง..! 
“ผมทำผิดอะไรเหรอยุ ทำไมถึงทำกันได้แบบนี้” คำถามของเขายังดังก้องอยู่ในหูไม่เลือนลบไปไหน หญิงสาวนั่งคิดด้วยความสะท้อนใจ 
นี่คงเพราะบุพเพฯ หล่อนจึงได้เจอกับเขา ดิษฐ์ ศิรชน ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ที่เข้ามาในบริษัท และทำให้หล่อนตกหลุมรักทันทีที่ได้พบ 
จากวันนั้นมาไม่ถึงเดือน ก็จะถึงกำหนดวันแต่งงาน ที่เตรียมการเอาไว้พร้อม ทั้งชุดเจ้าสาวก็ตัดแล้ว ลองแล้ว ครอบครัวทั้งสองต่างก็นั่งนับวันรอให้ถึงวันแต่งอย่างใจจดใจจ่อ 
ยุกันดายังจำวันนั้นได้ดี วันที่พ่อกับแม่หล่อนโกรธ ที่จู่ๆ ขอยกเลิกงานแต่งงาน จนทำให้มองหน้ากันไม่สนิทนัก 
“ขอโทษนะคะคุณแม่ คุณพ่อ” พึมพำออกมาเสียงแผ่วเบาๆ อย่างรู้ตัวดี จริงๆ หล่อนไม่ได้เกลียดเมฆหรอก แต่ว่า..ความรู้สึกที่มีกับคุณดิษฐ์มันพิเศษยิ่งกว่า 
หล่อนถอนหายใจออกมา ก่อนจะหลับตาลง คิดเพียงแค่ อยากจะอยู่กับคนที่รักให้ได้ก็เท่านั้น 
ถ้านี่คือ ความรู้สึกที่เรียกว่ารัก 
หล่อนก็คงมีความรักเป็นครั้งแรกในชีวิต กับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้นของตัวเอง
****************** 
บนทางด่วนแยกเข้าพระรามเก้า ดิษฐ์นั่งมองถนนที่ตอนนี้เริ่มมีรถวิ่งขวักไขว่ เมื่อเปลี่ยนถนน ด้วยย่านนี้มีบริษัทตั้งอยู่มากมาย ทุกคนจึงต่างหนีการจราจรด้านล่างที่ติดกันยาวเหยียดในช่วงสิ้นสัปดาห์ 
นายยิ่งขับรถด้วยความระมัดระวัง แต่พอเลยช่วงด่านเก็บเงินไม่นาน ถนนก็ว่าง เพราะมีทางแยกไปได้หลายสาย รถแต่ละคันขับกันมาอย่างเร็ว 
แต่แล้วก็เกิดเหตุขึ้น 
เอี๊ยด เอี๊ยด..! 
นายยิ่งเหยียบเบรกกระทันหันและลากยาวจนตัวโก่ง กับรถจอดขวางถนนอยู่ แต่ไม่มีสัญญาณบอกเอาไว้ ไฟกระพริบก็ไม่เปิด 
ดิษฐ์นั่งอ้าปากกว้างดวงตาเบิกค้างอยู่แบบนั้น โดยไร้ซึ่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา และ โดยไม่ทันตั้งตัว รถเกิดเสียหลักจากการเหยียบเบรกลากยาว เหยียบปล่อย เหยียบปล่อยจนเกิดเสียการทรงตัว ทำให้รถคันที่เขานั่งมานั้นพลิกคว่ำหลายตลบแล้วหมุนคว้างก่อนจะไปปะทะกับรถสิบล้อพ่วงที่วิ่งมาด้วยความเร็ว จนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 
บึ้มมม... 
เปลวไฟลุกท่วมรถทั้งสามคันทันที 
*************** 

โดย..เงาบุหงา

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่ ๓



บทที่ ๓ 
เช้านี้ยุกันดามาทำงานสายนิดหน่อย และหล่อนก็เดินสวนกับเขา ผู้ชายคนที่เข้ามาครอบครองหัวใจเต็มอยู่ทุกห้องในตอนนี้ ต่างคนต่างหยุดมองหน้าสบตากันโดยไม่ต้องพูด ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นสื่อถึงกันเอง ก่อนจะแยกกันไปทำงาน 
คิ้วสองข้างของหล่อนขมวดเข้าหากันตลอดเวลา ในระยะของการทำงานช่วงเช้า จนได้เวลาพักทานอาหารกลางวัน เมฆก็เดินมารับหล่อนที่ห้อง นั่นจึงเป็นโอกาสที่จะพูดกับเขา 
“ยุ วันนี้เราจะทานอะไรกันดีเอ่ย หืม..ทำไมหน้าซีดจัง ไม่สบายหรือเปล่านี่” เขาไม่พูดเปล่า แต่เดินเข้ามาเอามือแตะที่หน้าผาก หล่อนรีบเอียงกายหลบ นั่นยิ่งทำให้เขามองพร้อมทั้งเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างงงกับท่าที
“เมฆคะ ยกเลิกการแต่งงานเถอะ..” หล่อนเอ่ยกับเขาด้วยน้ำสียงราบเรียบ เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้า และรีบดีดตัวขึ้นอย่างเร็ว ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรนะ ไหนพูดใหม่อีกทีสิ..!” เขาถามย้ำในสิ่งที่หล่อนพูด สีหน้านั้นเข้มจนออกแดง ที่ย้ำถามในสิ่งที่หล่อนเอ่ยเมื่อสักครู่
ยุกันดาถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ “เรายกเลิกการแต่งงานกันเถอะค่ะ” เท่านั้นเอง 
ปัง
“ทำไม ผมทำผิดอะไร อยู่ๆ คุณถึงมาบอกให้ยกเลิกการแต่งงาน คุณไม่พอใจอะไรในตัวผม คุณพูดกับผมสิ แต่อย่าทำแบบนี้ มีอะไรมากกว่านั้น บอกผมหน่อยสิยุ” เมฆกำมือเข้าหากันแน่น หลังจากที่ทุบโต๊ะเสียงดัง โดยไม่กลัวมือจะพัง ริมฝีปากนั้นสั่น ใบหน้าก็ซีดจนหม่นและหมองลงถนัด หล่อนรู้ว่าที่พูดไปนั้นทำร้ายความรู้สึกของเขาไม่น้อย เพราะเห็นเขานิ่งไป แต่สายตาหันมาจับจ้องหล่อนเขม็ง ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เหมือนคนไม่อยากเชื่อ ว่าที่พูดกับเขาอยู่ในตอนนี้ จะใช่หล่อนหรือเปล่า ช่คนที่เขารู้จักไหม
“ไม่มีค่ะ คุณไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงเลย แต่ยุ ยุไม่ดีพอสำหรับคุณ อย่าถามยุอีกเลยนะคะเมฆ ยุขอร้อง” หล่อนพูดไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า เสียงก็ชักเริ่มสั่น
“คุณอย่าพูดบ้าๆ สิยุ วันแต่งของเราเหลืออีกไม่ถึงเดือนแล้วนะ มันไม่ง่ายอย่างที่พูด แขกเราเชิญแล้ว จะยกเลิกยังไง คุณคิดหน่อยสิยุ” เขาโวยวายเสียงไม่ดังนักเพราะอยู่ในห้องแอร์ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดตามหน้าผากแม้เครื่องปรับอากาศจะยังทำงาน สายตาที่มองหล่อนนั้นก็ตัดพ้ออย่างเปิดเผย
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะเมฆ ยุพูดจริงๆ” หญิงสาวยังคงยืนยัน สิ่งเดียวเท่านี้ที่หล่อนทำได้ เมื่อพูดออกไปแล้วก็โล่งอก ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา นอกจากสายตาที่มองมาเหมือนจะหักคอหล่อนเสียให้ได้ ก่อนจะกระแทกเท้าหนักๆ ผลุนผลันพาร่างออกไปจากห้องอย่างคนขวัญเสีย 
“เมฆคะ ! ยุขอโทษจริงๆ” หล่อนพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และรู้ดี ว่าจิตใจของเขายามนี้เป็นอย่างไร หล่อนเองก็สับสนหวาดหวั่นไม่ต่างอะไรกันคนที่ทำผิด เพียงแต่อยากทำตามที่ใจร่ำร้องเท่านั้น เป็นความผิดด้วยหรือ? 
หญิงสาวค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแล้วปิดเปลือกตาแน่น ปล่อยสมองให้ลอยเคว้งคว้างไปเรื่อยๆ เมื่อหล่อนเพิ่งจะทำให้คนที่ไม่อยากให้เจ็บปวดต้องเจ็บปวดและเจ็บช้ำ มันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่มันเป็นความผิดของหล่อนเองที่มักง่าย เกิดมีรักขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนกับคนที่ไม่คุ้นเคย แต่ในความรู้สึก มันกลับคุ้นเคยกันมากมาย และมีความสำคัญต่อเธอมากจนยากจะปล่อยให้ผ่านไปได้ 
หล่อนไม่สนใจว่าใครจะหมางเมินกับหล่อนบ้าง ขอเพียงแค่เริ่มต้นเดินไปพร้อมกับเขา ได้เป็นคนของเขา และเป็นคนๆ เดียวกัน 
หล่อนอยากสัมผัสผิวเนื้อของเขา เพื่อรับรู้ถึงไออุ่นจากเรือนกาย ได้พูดคุยโดยไม่ต้องกอดกันก็ได้ อยากสบตาบ้างใกล้ๆ ได้ทานอาหารและลิ้มรสในสิ่งเดียวกัน กับเขา 
ได้ดูได้ทำในสิ่งเดียวกัน เท่านั้น ทุกอย่างก็ช่างมหัสจรรย์มากแล้ว 
ยุกันดาไม่เคยเชื่อถือเรื่องบุพเพสันนิวาส แต่บัดนี้ หล่อนเชื่อแล้ว
ทุกเวลานาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็ผ่านมาด้วยดี ณ วันนี้ วันที่หล่อนได้เลือกชีวิตตามใจตัวเองเฝ้าฝัน
ได้ลิ้มรสชาติของชีวิตคู่ ที่มีหล่อนกับดิษฐ์มาเริ่มต้นใช้ หลังจากมีปากเสียงกับทางบ้านและเมฆได้เพียงอาทิตย์เดียว 
ทุกๆ อย่างดูราบรื่นและไม่มีข้อผิดพลาดสำหรับหล่อนและเขาอีกแล้ว 
เป็นการยอมรับซึ่งกันและกัน หล่อนมีความสุข กับชีวิตจุดนี้ ที่ได้เลือกเอง ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา จากเขาและหล่อน มีแต่ความรู้สึกผูกพัน ความเข้าใจที่เป็นตัวแปรจึงมีวันนี้
พิธีแต่งงาน มีเพียงเขากับหล่อนสองคน ที่ต่างก็เป็นพยานให้กับคำสัญญาของตัวเอง เดือนกว่าๆ ที่หล่อนมาอยู่กับเขา และลาออกจากงานที่ทำ แต่ละวันทั้งสองเหมือนคู่สามีภรรยา แม้ไม่ได้จัดงานแต่งกันใหญ่โต แต่ก็เป็นในแบบที่ทั้งสองถูกใจ โดยไม่ต้องเอ่ยปากก็ต่างรู้ดี 
ทั้งเขาและหล่อนก็เลือกบ้านพักริมทะเลแห่งนี้เป็นสถานที่ฮันนี่มูน แม้ไม่ใช่เกาะสวยหรูอย่างที่เคยคิด แต่ก็เป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัว ที่เปิดต้อนรับการมาของหล่อนตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่เขาให้คนขับรถมาส่งก่อน ตัวเขานั้นติดงานจึงมาพร้อมกันไม่ได้ เพราะต้องเข้าประชุมใหญ่ตั้งแต่เย็นวาน แต่เขาบอกว่าจะตามมาเมื่อเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย 
ยุกันดาชอบทะเล ยิ่งมีบ้านสวยๆ อย่างนี้ให้นอนดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หล่อนก็ยิ่งชอบ หากมีเขาอยู่ด้วยก็น่าจะดีและมีความสุข หญิงสาวรู้สึกดีใจนัก ที่พ่อกับแม่ปล่อยให้หล่อนตัดสินใจเอง
ตั้งแต่มีเรื่องกันวันนั้น ท่านก็ไม่เข้ามายุ่มย่าม ไม่ถามไม่ไถ่ เหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่โอภาปราศรัยเหมือนก่อน บางครั้งหล่อนก็แอบร้องไห้น้อยอกน้อยใจ แต่ทั้งหมดเพราะหล่อนเลือกแล้ว หล่อนขอท่านลิขิตชีวิตตัวเอง ซึ่งทั้งสองก็ไม่ห้าม 
เมื่อเป็นแบบนี้ หล่อนก็เลยขออนุญาตออกมาอยู่ข้างนอก ซึ่งท่านก็ไม่ขัด ยุกันดาจึงมีอิสระเต็มที่กับเรื่องนี้ 
หญิงสาวนอนตากแดดตากลมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เมื่อหิวก็ลุกขึ้นหาอะไรในตู้เย็นมาทาน มีอาหารมากมายหลายอย่างในนั้น เพราะเขาสั่งคนดูแลให้ซื้อไว้ให้พร้อมสรรพ 
หล่อนยืนทอดสายตามองเหม่อออกไปในทะเล ปล่อยดวงใจล่องลอยกับฟากฟ้าสีครามเบื้องหน้า ยามลมพัดโชยบางเบา ได้หอบเอาไอเค็มของน้ำและแดด มาให้หล่อนได้ซึมซาบ กับความเป็นธรรมชาติจนถึงแก่น.เหมือนหล่อนได้ซึมซับสัมผัสผิวกายของเขาไปด้วย คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ ผิวกายร้อนรุ่ม อกใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความคิดถึง.. 
แต่ยามนี้อยู่คนเดียว มันชวนเหงาพิลึก 
กริ๊ง กริ๊งงง 
เสียงแผดดังของโทรศัพท์ ทำเอาหล่อนสะดุ้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ามาแนบหู กรอกเสียงลงไป
“ฮัลโหล.สวัสดีค่ะ อ้าว ! หรือคะ ไปเมื่อไหร่คะ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ ค่ะ ยุจะรอคุณมารับกลับบ้านเรา แล้วเจอกัน เดินทางปลอดภัยนะคะดิษฐ์ ยุรักคุณ” 
**************** 
ทุกเวลานาทีที่อยู่ที่นี่ ยุกันดาเดินไปตามหาดทรายสีขาว สายลมโชยแผ่วเบา ทำให้เย็นสบาย อากาศยามบ่ายแก่ๆ อย่างนี้ยิ่งทำให้ชายหาดริมทะเลดูดียิ่งขึ้น หล่อนยกเท้าเพื่อให้พ้นน้ำทะเลที่สาดซัดขึ้นมาจนสูง เดินบ้างวิ่งบ้าง พอเหนื่อยก็หยุด 
ยุกันดาทรุดตัวลงนั่งบนผืนทราย ทอดตามองแสงอาทิตย์ ที่ไม่แผดจนจ้ามากนัก อย่างเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนักๆ ทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเด็กใบ้ลูกของแม่บ้าน เดินมายื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมชี้มือชี้ไม้เป็นการสื่อสาร หล่อนรับมาถือและไม่ลืมกล่าวขอบใจเบาๆ 
“ฮัลโหล !” เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนลอยเข้ามาตามสาย “ยุครับ ผมเอง” 
“คุณดิษฐ์” หล่อนเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “อยู่ที่ไหนคะตอนนี้ ” ถามเสียงใส 
“ตอนนี้ผมอยู่สนามบินแล้ว อีกไม่เกินสามชั่วโมงนี้ เราคงได้เจอกัน ให้นายยิ่งมารับแล้วจ้ะ ผมคิดถึงคุณมาก รู้ไหม” บอกเพื่อให้หล่อนคลายกังวลและกระซิบในตอนท้ายน้ำเสียงกระเส่ามาตามสาย ทำให้คนฟังใบหน้าร้อนวูบวาบ ค้อนลมค้อนแล้งแถวนั้นไปเรื่อย 
“ฮื่อออ รู้แล้ว จะรอนะคะ ”บอกกลับไปด้วยน้ำเสียงสดชื่นไม่ต่างกัน ดวงตาสุกใสเปล่งเป็นประกาย 
ติ๊งง… 
เสียงปลายทางวางสายไปแล้ว หล่อนจึงส่งโทรศัพท์คืนแม่หนูใบ้ไป แล้วคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าไปบอกแม่เนียมในครัว ให้ออกไปช่วยถือของที่ตลาด แล้วบอกให้กลับบ้านได้ หล่อนจะเตรียมอาหารเอง เพื่อรอเขากลับมาทานพร้อมกัน
ตั้งแต่แต่งงานกันมา หล่อนก็ทานคนเดียวมาตลอด ในเมื่อวันนี้เขากลับแล้ว ถือโอกาสเลี้ยงฉลองกันสักหน่อย 
๑๗.๓๐ น.แล้ว ยุกันดาเตรียมอาหารไว้พร้อม ไวน์ที่เขาชอบก็จัดแจงแช่รอในถัง ในชีวิตนี้ ทั้งเขาและหล่อนต่างไม่ขออะไรมาก แค่ได้อยู่กันสองคนก็เพียงพอแล้ว 
****************** 

โดย..เงาบุหงา

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่๒



บทที่ ๒ 
บรืน ...
หญิงสาวหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ จนเมื่อบิดามารดากลับจากวัดและเข้ามานั่งนั่นและ หล่อนจึงลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย 
“ฮ่าฮ่า วันนี้ พ่อมีความสุขจัง นานๆ ได้คุยกับท่านต้น เป็นไงบ้างคุณ หายคิดถึงลูกหรือยัง ” คุณประภาสหันไปถามภรรยายิ้มๆ ด้วยใบหน้าอิ่มเอมใจ ที่มีลูกชายอยู่ในร่มผ้ากาเสาวพัฒน์ เบาใจไปได้เยอะจากที่เคยเกเรเกตุงจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับมานาน ตอนนี้เหมือนหลุดจากแวดวงนั้น มีโชคเข้าข้าง ที่ทำให้ลูกทั้งสองก้าวถึงฝั่งอย่างไร้กังวล 
“อ้าว.แม่ยุ พ่อเมฆกลับไปนานแล้วหรือลูก" มารดาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งเดินไปรินน้ำมาวางให้สามีและตนเอง ก่อนมาหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามลูกสาวที่เพิ่งลุกขึ้น ยุกันดามองผู้บังเกิดเกล้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนทำหน้ายู่ด้วยความเจ็บปวด จนทั้งสองมองหน้ากัน เมื่อสังเกตใบหน้าลูกสาว 
“มีอะไรหรือเปล่าลูก เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน หรือมีอะไรจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง” คุณประภาสบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 
ยุกันดาส่ายหน้าก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อนต่อ เพราะปวดหัว คุณประภาสและคุณจันทร์โฉมมองตามด้วยความห่วงใย ด้วยปรกติลูกสาวไม่เคยมีสีหน้าที่อมทุกข์เช่นนี้ 
คุณนายจันทร์โฉมทำอาหาร คุณประภาสถือโอกาสเดินขึ้นไปหาลูกสาวที่ห้อง เห็นประตูเปิดจึงเคาะส่งสัญญาณ 
ก๊อก ก๊อก.. 
“เชิญค่ะ” อนุญาตทั้งไม่หันมามอง หน้ายังเอียงซบอยู่กับหมอนเหมือนเดิม นั่นยิ่งเพิ่มความห่วงใยให้คุณประภาสหนักเข้าไปอีก ฝ่ามือหนาที่แผ่ความอบอุ่นเอื้อมไปแตะที่แขนเบาๆ 
“มีอะไรไม่สบายใจไหนเล่าให้พ่อฟังสิ เราพ่อลูกกัน มีปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้” 
คราวนี้ ยุกันดาเบือนหน้ามา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง และโผเข้าหาอ้อมอกบิดา เท่านั้น น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลลงมาเป็นทาง ตามด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ ใบหน้าส่ายไปมา คุณประภาสไม่เซ้าซี้ เพียงแต่บอกว่า
“งั้นอยากบอกพ่อตอนไหนก็ค่อยบอกแล้วกัน อย่าลืมว่าพวกเราจะไม่ปกปิดปัญหากันนะลูก” 
หล่อนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคร้ามเข้มของบิดาตรงๆ หัวคิ้วขมวดมุ่น เพราะไม่รุ้จะเริ่มยังไงดี 
ทั้งคู่ต่างเงียบกันไปพักหนึ่ง หล่อนค่อยๆ ดันร่างถอยออกมาจากอ้อมอกกว้าง ยกมือปาดน้ำตาออกจนหมด เงยหน้ามองบิดาอีกครั้งพร้อมถอนหายใจแรงๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ
“เอ่อ...” คำพูดติดอ่างเสียอย่างนั้น
“เอ้า.! มีอะไรก็พูดมาเถอะลูก ถอนหายใจจนพ่อเหนื่อยแทนแล้ว” คุณประภาสแซวลูกสาว ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 
“เอ่อ.! คุณพ่อคะ ถ้าหนูอยากจะยกเลิกการแต่งงานกับเมฆละคะ คุณพ่อจะโกรธหนูไหม” สิ้นประโยคนั้น ใบหน้าคุณประภาสขรึมลงไปทันที จนหล่อนหายใจไม่ทั่วท้อง 
เพล้ง... 
ทั้งสองสะดุ้ง รีบหันไปทางต้นเสียงนั้นอย่างเร็ว ยุกันดามองมารดาที่ยืนใบหน้าซีดเผือดอยู่หน้าประตูด้วยความตกใจ แต่ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา แม้ชามข้าวต้มอุ่นๆ ที่ถือจะตกแตกน้ำร้อนๆ กระเซ็นไปโดนขาท่านก็ไม่ส่งเสียง 
“คุณ...” คุณประภาสเรียกภรรยาเสียงดัง
“คุณแม่..” หล่อนเรียกอย่างตกใจ แล้วทั้งสองก็ถลันเข้าไปหาร่างนั้นพร้อมกัน 
“อย่าแตะต้องตัวฉันนะ..” เป็นคำขาดจากปากท่านอย่างเย็นชา “ไหน แกพูดใหม่อีกทีซิแม่ยุ ว่ายังไงนะ” ย้ำถามเสียงต่ำ บ่งบอกอารมณ์โกรธ
“คุณแม่คะ.!” 
“แกไม่ต้องมาเรียกฉัน ไหนพูดมาใหม่อีกทีซิ” คำนั้นทำให้หล่อนรู้ว่าท่านกำลังโกรธจัด แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงจะไม่มีทางเลือก 
“หนูไม่อยากแต่งงานกับเมฆค่ะ” เอ่ยออกมาด้วยความยากลำบาก
“ฉันไม่ยอม ทำไม? ตาเมฆมีอะไรที่ไม่ดีงั้นรึ หรือพ่อเมฆไปทำอะไรไว้ไม่ดี แกถึงคิดจะล้มเลิกงานแต่งนี้น่ะ ห๊า ! แม่ยุ” น้ำเสียงนั้นตัดพ้อแทนชายหนุ่ม หล่อนรู้ดีว่าพ่อกับแม่รักเมฆ แต่หญิงสาวไม่ตอบ เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้า ก้มกราบแทบเท้าท่านทั้งสอง แล้วร้องไห้ออกมาต่อหน้าอย่างอัดอั้นตันใจ 
“หนูขอกราบขอโทษคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ หนูก็ไม่รู้ แต่หนูไม่อยากแต่งงาน เมฆไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย หนูผิดเอง หนูอยากอยู่อย่างนี้อีกหน่อย อยากจะอยู่คนเดียว นะคะ คุณพ่อ คุณแม่ ให้หนูอยู่อย่างไม่มีพันธะได้ไหม” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาวิงวอน
“เท่านี้หรือที่แกต้องการ จริงหรือแม่ยุ เท่านี้หรือที่แกกล้าล้มเลิกงานแต่งงานที่เตรียมไว้อย่างหรูหรา หืม..แกไม่คิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่และตาเมฆบ้างหรือ ที่ไปเชิญญาติผู้ใหญ่มาเป็นพยานไว้แล้วน่ะ เหตุผลไม่มีเอาเสียเลย”ท่านตำหนิแล้วหยุดไปนิดหนึ่ง “แกช่วยไปนอนคิดให้รอบคอบหน่อย ว่าที่ทำนะถูกแล้วหรือไม่” ท่านกล่าวไว้เท่านั้นก่อนจะก้าวออกไป 
ยุกันดาหันมองบิดานิ่งๆ หล่อนเห็นบิดายืนกำมือเข้าหากันแน่นอย่างระงับอารมณ์ 
“เดี๋ยวเก็บชามที่แตก แล้วไปพบพ่อที่ห้องทำงาน” น้ำเสียงสั่งเฉียบขาดจนอดใจสั่นไม่ได้ 
“ค่ะ..คุณพ่อ” 
ท่านเดินจากไปอีกคน หล่อนยืนเหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือ ยามนี้หล่อนยอมแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อตัดสินใจพูดออกไปขนาดนี้ เรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องพร้อมจะยอมรับ ค่อยๆ ยกมือขึ้นไล้ปอยผมไปด้านหลัง ก่อนจะเริ่มเก็บเศษแก้วที่แตก 
อะไรจะเกิดก็ให้เกิด จะไม่สน ไม่แคร์อะไรแล้ว เมื่อทุกอย่างมาถึงทางของมัน มีแต่ต้องกล้าเผชิญ ในเมื่อหล่อนกล้ารักกล้าหักหาญน้ำใจของคนรอบข้าง หล่อนก็พร้อมและกล้าจะเปลี่ยนแปลง 
*************** 

โดย..เงาบุหงา

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

~*ชั่วนิจนิรันดร์*~ ตอนที่ ๑


บทที่ ๑
ถนนย่านธุรกิจ กลางเมืองหลวงที่พลุกพล่านไปด้วยรถรามากมาย ที่มีผู้คนขวักไขว่ คลาคล่ำไปทั่ว จากเช้าจวบเย็น
ณ ตึกพี เอช ทาวเวอร์
พั่บพั่บ... 
“โอ๊ะ..! แย่ล่ะ” 
หญิงสาวที่หอบแฟ้มงานมามากมายทำอะไรไม่ถูกเมื่อเอกสารที่ถือมานั้นปลิวร่วงหล่นบนพื้น เพราะความเหม่อลอยของหล่อน 
โน้มตัวก้มลงเก็บกระดาษที่ตกบนพื้น ทีล่ะแผ่น เก็บไปสายตาก็จ้องไป ผิดบ้าง ถูกบ้าง เหมือนคนขาดสติทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าเขา 
จะเป็นแบบนี้เสมอเวลาเจอกัน เธอจะมีอาการประหม่าจนลนลาน หยิบจับทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนโดนมนต์สะกด พรหมลิขิตหรืออย่างไรก็ยากจะเดา แต่ความรู้สึกรุนแรงเสมอ เหมือนใครคอยเหนี่ยวรั้งจนเธอละสายตาจากเขาไม่ได้ หัวใจเต้นเร็ว และรัวจนกลัวว่ามันจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ และดังก้องอยู่อย่างนั้น ยุกันดารีบเก็บจนเสร็จก่อนจะเดินผละจากไป 
“คุณผู้หญิงครับ เดี๋ยวก่อน..” 
หนุ่มใหญ่เรียก แต่ยุกันดารีบเพียงเพื่อต้องการจะหลบหน้าเขา แต่ช้าไป เมื่อชายหนุ่มก้าวขาเร็วๆ และคว้าข้อมือหล่อนเอาไว้ ทำให้ใบหน้านั้นหันและเงยขึ้นมาประสานสายตาด้วย 
ยุกันดามองหนุ่มใหญ่หน้าตาคมคาย ปากนิดจมูกหน่อย ที่โด่งเป็นสันเงางาม ผิวเขาขาวสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา ดวงตาโต ริมฝีปากหยักโค้งได้รูป ดูเหมือนจะแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา 
เขากำข้อมือนั้นเอาไว้ ทอดตามองใบหน้านวล ที่ยืนประจันหน้ากันไม่ห่างอย่างตะลึง ซึ่งในนาทีนี้ ยุกันดารู้แล้วว่า มิใช่แต่หล่อนคนเดียวที่มีความรู้สึกแบบนั้น ตอนนี้ หล่อนสัญญากับตัวเองได้เลย ว่าจะยอมแล้วกับเขาผู้นี้.. ยอมทุกอย่าง 
ถึงแม้ว่าจะต้องสังเวยด้วยอะไรก็ตาม? ขอแค่ให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาเท่านั้น
วันนี้เป็นวันหยุด ยุกันดานั่งเหม่อลอยอยู่ที่ขอบระเบียงบ้านของห้องนอน หญิงสาวปล่อยความคิดให้แล่นไปเรื่อย มันลอยไปตามแต่ใจต้องการโดยไม่ยื้อ ไม่ดึงเอาไว้แต่อย่างใด ภายใต้ใบหน้านวลแววตามีแต่ภาพใบหน้าคมคายของเขาเท่านั้น ที่ลอยเด่นอยู่ในห้วงสำนึก ไม่เคยห่างหาย มีความสุขยามได้คิดถึงเสมอ 
ก๊อก ก๊อก... 
“ลูกยุ พ่อเมฆมาหานะลูก ทำอะไรอยู่ ไม่ได้ยินเสียงรถหรือไง? ลงไปพบเขาหน่อยสิจ้ะ อะไรกัน! อยากเป็นนางห้องไปเสียแล้วลูกคนนี้” เสียงมารดาบอกแกมบ่นเล็กน้อยกับความเปลี่ยนแปลงของหล่อน 
“ค่ะแม่ เดี๋ยวหนูลงไปค่ะ”ตอบรับมารดา แต่ก็ยังนั่งอยู่อีกเป็นครู่ ก่อนจะลุกไปสำรวจใบหน้าอีกรอบ เพื่อออกไปพบคู่หมั้น 
เสียงบิดาหล่อนคุยอย่างออกรสชาติเมื่อได้เพื่อนถูกคอตามประสาผู้ชาย หล่อนเดินไปทรุดนั่งใกล้ๆ 
“อ้าวมาพอดีแม่ยุ งั้นตามสบายนะ พ่อจะพาแม่เขาไปหาหลวงพี่ เมื่อวันก่อนเห็นบ่นหาโยมแม่ จะไปนั่งคุยกับท่านเสียหน่อย” 
คุณประภาสเดินไปรับของจากมือภรรยา ก่อนจะเดินนำไปที่รถ โดยปล่อยให้หนุ่มสาว คุยกันตามลำพัง อย่างคนที่จะร่วมชีวิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ 
เมื่ออยู่ตามลำพัง หญิงสาวลุกขึ้นและถามโดยไม่หันมามองเขา 
"น้ำผลไม้ไหมคะเมฆ” ยุกันดารินน้ำผลไม้ในตู้เย็นเดินถือมาด้วย 
“ไม่ล่ะจ้ะขอบใจ ก่อนหน้านี้ยุทำอะไรอยู่หรือครับ” เขาถามแล้วจ้องดูสีหน้าเนือยๆ ของหล่อน เมื่อเดินมานั่งไม่ห่างจากเขานัก 
“เปล่าหรอกค่ะ ยุนั่งอ่านหนังสือเล่นน่ะ” หล่อนโกหก แต่เพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้จึงต้องทำ หล่อนไม่อยากทำร้ายน้ำใจของเขา และยังไม่รู้ว่าจะปิดบังอารมณ์ตนเองไปได้นานแค่ไหน จะซ่อนเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า? แต่ความต้องการของตนเองก็รุนแรง จะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี สมองเริ่มมืดทั้งสี่ด้าน คิดอะไรไม่ออก จนพาลไม่อยากพบ แต่เขาก็ไม่ได้ผิดอะไร ตัวหล่อนต่างหากที่เปลี่ยนไป และวันนี้ที่เมฆมาก็เพื่อจะชวนไปดูหนัง แต่ใจหล่อนไม่อยากไป อยากนอนมากกว่า รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเฉยๆ เขาก็เข้ามาจับหน้าผากดู ใจจริงหล่อนไม่อยากให้มือหนานั้นเป็นมือของเมฆ อยากให้เป็นมือของหนุ่มใหญ่คนที่คว้าข้อมือหล่อนไว้เมื่อวานนี้แทนมากกว่า ไม่รู้ว่าบ้าไปหรือเปล่า? ทำไมจิตใจจึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ยุกันดารีบสลัดหัวแรงๆ ก่อนจะเอนลงนอนราบบนโซฟา 
“งั้นผมกลับก่อนดีกว่า ยุพักผ่อนมากๆ นะครับ ช่วงนี้ คุณดูโทรมๆ ไปหน่อยนะ” เขาเดินไปหยิบยาในตู้ด้านข้าง แล้วเทน้ำอุ่นมายื่นให้หล่อนก่อนเดินมานั่งมองนิ่งๆ ด้วยประตาอ่อนโยน 
ยุกันดารับยามาหย่อนใส่ปาก อยากจะบอกเขาว่าไม่เป็นไรแต่ปากก็หนักเกินไป อีกอย่างหล่อนก็เครียดไปหน่อยช่วงนี้ เพราะในสมองมีแต่ใบหน้าของเขาคนนั้นลอยเต็มไปหมด หมายความว่าไงนะ แต่จะให้ไม่คิดถึงก็ห้ามไม่ได้ แต่กับเมฆหล่อนกลับไม่คิดแบบนี้ 
เมื่อคู่หมั้นกลับไปแล้ว ยุกันดาก็ปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปช้าๆ กับความคิดที่ปวดหนึบเมื่อคะนึงถึงเรื่องความรัก หลับตาลงและพยายามเลิกหมกมุ่นกับเรื่องนี้จนม่อยหลับไป 
*******************

โดย..เงาบุหงา
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background