Translate

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*โป๊ยเซียนช่องาม*~


โป๊ยเซียนช่องาม

*โอ้! โป๊ยเซียน เพียรออกดอก บอกความหมาย
ไม่เดียวดาย มีหลายดอก ออกเป็นช่อ
แม้มีบ้าง เหี่ยวห่างเฉา เพราะเฝ้ารอ
กิ่งเสริมต่อ ก่อเกิดใหม่ ให้ลมไกว

*ดุจมนต์ตรา มหาเวทย์ ประเภทหนึ่ง
สร้างโลกฝัน หวานซึ้ง พึงหลงไหล
สงวนดอก ออกหนาม ย้ำเตือนใจ
หากคลังไคล้ ใฝ่หา น้ำตาเล็ด!

*ก่อนถึงช่อ ดอกสวย ซ่อนด้วยหนาม 
ดอกยิ่งงาม หนามยิ่งคม ชม..อย่าเด็ด!
แม้ตาดี ยังมีพลั้ง เลือดหลั่ง..เช็ด!
หากตาบอด จอดสะเด็ด ! เล็ดน้ำตา

*มองโป๊ยเซียน แรกแย้ม แซมสุดสวย
กิ่งระรวย รายชื่น รื่นบุปผา
สีสันสวย ปราศราคี มีราคา
มากมายหา พาเพลิน เจริญใจ

*วนวียนดู ความงาม ยามเกลื่อนกลาด
สีฉูดฉาด สะดุดตา น่าพิสมัย
ชูกิ่งก้าน ขยันออก ทั้งดอกใบ
เพริศพิไล นักหนา คราได้ชม

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๘*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

 “พรุ่งนี้มีทัศนศึกษาเราจะไปกันที่สวนสัตว์เขาเขียวล่ะวี ต้องสนุกแน่ๆเลย”ปภาวดีเดินเข้ามาหาบอกด้วยรอยยิ้ม เพราะวันนี้ไม่มีกิจกรรม รตาแม้จะเงียบไปคุยน้อยลง แต่ก็ยังมาเข้ากลุ่มบางครั้ง

“ดีจังเลยนะวดีคิดถึงศิลาจัง”วีรนุชตื่นเต้น และคิดถึงเพื่อนไปด้วยพร้อมกัน นานๆจะไปไหนมาไหนด้วยกันที่โรงเรียนแบบนี้สักที่

“ฮื่อ..ใช่วันนี้เดี๋ยวเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พรุ่งนี้มาแต่เช้านะวี รตาบายจ้ะ”ปภาวดีทักทายก่อนจะกลับไปนั่งโต๊ะเรียนอีกวิชาหนึ่ง

คืนนี้หล่อนจะสวดมนต์แผ่เมตตาบทใหญ่จะได้นอนหลับสบายตลอดจนถึงเช้าเหมือนทุกคืน


๐๗.๐๐ น.
“เอ๊า...ขึ้นรถ เจ็ดโมงครึ่งตรงรถจะออกจากที่นี่ นะใครตกรถอย่ามาโอดครวญทีหลังล่ะ”
คุณครูประกาศให้ทุกคนขึ้นรถเมื่อรถเปิดประตู
“ว๊ายอาจารย์ มาจับหนูทำไม? ”เสียงของเพื่อนโวยอยู่ด้านหลัง วีรนุชหันไปมองนิดหนึ่ง
“ก็เธอโม้มากเกินไปน่ะสิ”ครูไพศาลบอก
วีรนุชเดินตามเพื่อนๆ ขึ้นรถ แต่ยังไม่ทันไปถึงบันไดเกิดอาการอยากจะคายของเก่าออกมา ต้องรีบยกมือปิดปาก
“วีรนุช เธอเมาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นรถเลยหรือนี?”เสียงถามดังมาจากครูจินตนาที่ชะโงกหน้าออกทางหน้าต่างด้านหน้าหล่อนรีบเดินไปทางห้องน้ำ ปภาวดีกับรตาเดินตามมาติด
“วี เธอเป็นอะไรไปหรือ?”รตามองด้วยใบหน้าสงสัยปภาวดีเดินเข้าไปลูปหลังตอนที่โก่งคอจะอ๊วก
“หน้าซีดเชียววี”รตาบอกเพื่อน
วีรนุชโก่งคออ๊วกเอาเศษอาหารออกไปได้สักครู่จึงบ้วนปากแล้วเงยหน้ามองเพื่อนรักทั้งสอง
“พวกเธอไปกันเถอะเราจะไปนอนที่ห้องพยาบาล สักครู่ หากดีขึ้นค่อยโทรหาคุณพ่อมารับตอนเย็นหรือไม่แน่พวกเธออาจจะกลับมาก่อนคุณพ่อฉันมาก็ได้นะ”บอกให้เพื่อนคลายกังวล
“เธออยู่ได้แน่นะวีมีอะไรก็ไปที่ห้องพักครูนะวี”ปภาวดีสั่งก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถเพราะเวลาไม่มีแล้ว
ไม่นานรถทัศนศึกษาก็ทยอยกันวิ่งออกไปจากโรงเรียนทีละคันจนหมดวีรนุชยืนมองทางหน้าต่างอย่างเสียดาย
  ไม่นาน
อา..!
ดูสิ..พอเขาไปกันหมดแล้วอาการก็ไม่มีอะไรหล่อนอุตส่าห์ ตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้ทำความสนิทกับเพื่อนทุกคนเสียหน่อย
เดินกลับไปนั่งที่ขอบเตียงรู้สึกเหงาๆ เซ็งๆ จนไม่รู้จะทำอะไร กระเถิบขึ้นไปเอนหลังพิงขอบเตียงด้านบนปล่อยใจลอยล่องไปเรื่อย
‘คุณนิลนาถ ปานน้อยก็คงจะเหมือนเราสินะ ที่ต้องอดไปทัศนศึกษา แถมต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีก’
ที่นี่..!
หญิงสาววางมือบนที่นอนก่อนจะสะดุ้งถอยผละเกือบตกเตียง ใบหน้าซีดเผือดตัวสั่นระริก เหงื่อไหลหยดลงมา
‘หรือว่า..! ที่เราต้องอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณนิลนาถ? เพราะคุณนิลนาถต้องการให้เราเป็นเหมือนเธอเหมือนที่อยากให้คุณริญลดาอยู่ด้วย’
วีรนุชพึมพำเสียงสั่นความหวาดหวั่นพุ่งขึ้นจนนั่งและอยู่ไม่ได้
หญิงสาวผวาวิ่งออกจากห้องตรงไปทางห้องพักครูอย่างเร็ว


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*คิดถึง*~



ขอบคุณภาพสวยๆ จากอินเตอร์เน๊ต

/นานเหลือเกินที่เราไม่เจอกัน
แต่คิดถึงทุกวันให้หวั่นไหว
นึกถึงไออุ่นรักร้อยปักใจ
ความคุ้นเคยมอบให้ใช่จะจาง

/เหงา..ฉันคง เหงามาก หากขาดเธอ
จึงมานั่งละเมอเพ้อหาบ้าง
ก็มันรักเหลือหลายเกินคลายจาง
ร่ายกลอนอย่างเศร้าเศร้ารุมเร้าทรวง

/ออกซิเจนในหัวใจคงไม่เหลือ
เพื่อจุนเจือยามไกลในบางช่วง
คิดถึงนะ คิดถึงกันจึงหมั่นทวง
ยังห่วงหวงมิวายสายสัมพันธ์

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*จบกันที*~



/ฉันจะเก็บรักไว้ใต้แผ่นฟ้า
เหนือขอบใจของเวลาดุจว่าแก้ว
จะกอบเก็บรักใสให้วาวแวว
ทั้งหวานแหว๋วมีเสมอให้เธอชม

/ต่อแต่นี้ลืมสิ้นที่หมิ่นหม่น
พร้อมอดทนก้าวข้ามความขื่นขม
ไม่ต้องทนกลืนกล้ำช้ำระทม
ไล่ตรอมตรมให้ห่างอย่างสุขใจ

/ขอขอบคุณเพื่อนพ้องพี่น้องรัก
เรื่องอกหักมักมาพาหวั่นไหว
จนสมองล้าอ่อนกร่อนลงไป
เหตุไฉนใยต้องทุกข์สุขไม่เจอ

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ณ ลานฝัน



/ณ ยามนี้ที่ยืนเหม่อเผลอมองฟ้า ณ คืนนี้มีดารามาให้อ้อน ณ ค่ำที่แสนเหงาขอเว้าวอน ณ ดื่นดึกนึกย้อนความผ่อนคลาย /ณ ดวงใจใฝ่ปองจ้องเสนอ ณ ดื่นดึกนึกก็เพ้อ-เจ้อไม่หาย ณ ค่ำคืนตื่นรอขอทักทาย ณ ยามนี้ที่หมายสายใยทอ /ณ ยามนี้มีเพลงบรรเลงกล่อม ณ คืนค่ำคำพร้อมน้อมใจพ้อ ณ ราตรีที่ไร้คนเคลียคลอ ณ ค่ำนี้ที่อยากก่อต่อรวงรัง /ณ ตรงกลางทางเสริมเราเติมใส่ ณ มีรักปักไว้ก่อนไร้หวัง ณ คืนนี้ที่ยังไหวในภวังค์ ณ ตอนนี้มีพลังนั่งร่ายกลอน

แพรอักษร

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คติธรรม


อย่าหยุดที่ใครสักคน เพียงเพื่อจะพัก...จงหยุดที่จะรักเพราะ รักเขา..หมดหัวใจ...

๐๙/๑๒/๕๖

คติธรรม



ของดีนั้นหายาก และลำบาก เพราะมัวหากันแต่ภายนอก...
11/12/56

คติธรรม



ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก...
10/12/56

คติธรรม



ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด
10/12/56

คติธรรม


/ ของดีอยู่ในตัว อย่ามัวแต่หาภายนอกเลย...
10/12/56

คติธรรม


ใช้ชีวิตแบบไร้สาระ แล้วจะละความชั่วได้อย่างไร...
10/12/56

คติธรรม


…”ชีวิต”…สอนให้รู้จักความไม่แน่นอนของชีวิตสอนให้รู้ว่ามีความสุขก็ต้องมีความทุกข์สอนให้มีสติกับสิ่งที่ทำอยู่กับปัจจุบันสอนให้รู้จักรอเพราะไม่มีอะไรได้ดั่งใจทุกอย่าง

๒๕/๑๑/๕๖

คติธรรม


“เกิดมาเป็นคน ทุกคนมีชีวิตที่เท่าเทียมกัน อย่าคิดว่าตัวเองต่ำต้อยหรือสูงกว่าใคร จงทำตัวให้มีคุณค่าไว้ อย่าใส่ใจจากการมองของคนอื่น 
ถ้าเราไม่ต่อสู้ ไม่ดิ้นรน ชีวิตเราก็จะไม่คุ้มค่า ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม? ”

๒๒/๑๑/๕๖

คติธรรม


รวย แต่ยังเป็นทุกข์มาก
มีเกียรติ แต่ยังเป็นทุกข์มาก
มีชื่อเสียง แต่ยังเป็นทุกข์มาก
นั่นเพราะว่า...
ความทุกข์มากหรือทุกข์น้อย
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่อยู่ที่...
ความยึดมั่นถือมั่น มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น
   
๒๑/๑๑/๕๖

คติธรรม


ดอกไม้งามได้เพราะ รูปลักษณ์ และสีสัน
คนจะงามได้เพราะ พระธรรม...

๑๒/๑๑/๕๖






โดดเดี่ยว เดียวดาย (กลอนเปล่า)




จะยังคงเป็นแบบนี้อีกนานไหม?
กว่าที่เราจะรู้ใจกันและกัน 
มันคงจะไม่ง่ายนักหรอกเรื่องฝัน
เมื่อเวลาและวันพาเราเปลี่ยนจนจากลา

ฉันคงจะไม่โทษถ้าเธอจะเดินจาก
เพราะรู้และเข้าใจเธออยู่มาก..ยากมองหน้า
จึงรำพึงทุกวันเสมอตลอดมา 
ฉันก็ฟังจนล้าเหนื่อยน่าดู

หมดเวลาเธอคงลาและต้องไป 
แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นเหลือให้เอาไว้อยู่ 
คงจะเป็นความคิดถึงจากใจ เธอ(คง)ไม่รู้ 
บอกไม่ได้อยู่เป็นครู่ ดูเขาเดินจากไกล

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พูด



/พูดจาให้คนอื่นฟังรื่นหู
เป็นเหตุให้หน้าตาเรานั้นยิ่งสดชื่น

13/12/56

อุปสรรค


ความฝัน เป็นสิ่งดีเสมอ เป็นทั้งแรงบันดาลใจ แรงกระตุ้น คอยผลักดันเราให้ก้าวเดินไปข้างหน้าฝ่าทุกอย่างด้วยความอดทน...
เราเป็นผู้เบิกทางของเราเอง
๑๓/๑๒/๕๖

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๗*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

วันนั้นทั้งวันทุกคนเรียนไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีที่เพิ่งเปิดเทอมวันแรก ชั่วโมงเรียนจึงไม่หนัก

และตอนเย็นเราทั้งสามจะไปเยี่ยมศิลาที่โรงพยาบาลปภาวดีมากระซิบบอกเอาไว้หลังมื้อเที่ยง

พอเริ่มเข้าชั่วโมงที่หก วีรนุชก็ใจคอไม่ดีเหมือนเคย



วีรนุชนั่งครุ่นคิดด้วยหัวใจเหม่อลอยไปจนหมดชั่วโมงเรียน

“เอาล่ะนักเรียนวันนี้แค่นี้นะ กลับบ้านไปทบทวนด้วยล่ะ”อาจารย์จำรูญย้ำ

“นักเรียนตรงขอบคุณค่ะคุณครู”ปภาวดีกล่าวนำเพื่อนขอบคุณอาจารย์ พร้อมๆ กัน

“วี.รตาพี่วิมมารอแล้วแน่ะข้างล่างเห็นไหม?”ปภาวดีเดินเข้ามาบอกพร้อมชี้มือให้เพื่อนดูรถและคนขับที่นั่งอยู่ด้านใน

“ไหนๆอ้อ..! พี่เขามารอนานแล้วเหรอวดี? ”รตาถามเพื่อนเพราะเกรงใจที่เขามาคอยรับส่งพวกเธอ

“ไม่มั้งพี่เขารู้นะว่าโรงเรียนเลิกกี่โมง พวกเราลงไปกันเถอะ”ปภาวดีชวนเพื่อนทั้งสองแล้วพากันเดินนำไปที่รถ

โรงพยาบาล

“เจ็บใจจริงๆอุตส่าห์ลำบากถ่ายมาแทบตายคิดว่าจะเก็บไว้เป็นหลักฐานและกำจัดวิญญาณยายนิลนาถได้ สุดท้าย ไฟไหม้เกลี้ยงแถมเจ็บตัวอีก”ศิลาพูดออกมาหาไม่ได้เกรงกลัววิญญาณร้ายแต่อย่างใด

“ฉันไม่อยากไปโรงเรียนเลย”วีรนุชกล่าวด้วยสีหน้าหมองๆ ใบหน้ายังคงซูบซีดเห็นได้ชัดเพราะสังเกตที่เพื่อนโดนมันเหมือนจะเป็นการเตือนกันแล้ว

ต้องเป็นฝีมือวิญญาณของคุณนิลนาถแน่ๆในตอนเย็นวันนั้นทุกคนกลับบ้านด้วยอาการครุ่นคิดและหวาดผวา

วีรนุชอาบน้ำจัดตารางสอนเสร็จลงมาดูทีวีเพื่อรอบิดากลับมาทานอาหารค่ำด้วยกัน ก่อนเข้าห้องนอน หล่อนเข้าห้องพระสวดมนต์ นั่งสมาธิแผ่เมตตากรวดน้ำให้กับวิญญาณของนิลนาถ อย่างน้อยๆ น่าจะช่วยได้บ้าง

-------------
ห้องA ชั้นสอง

“ทิ้งไปทิ้งไปเลย ทิ้งไป”เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาทชัดเจนจนวีรนุชต้องยกมือขึ้นอุดหู ใบหน้ายุ่ง เหงื่อซึมตามหน้าผากมน

“ไม่ไม่นะ..ไม่มีทาง ! ”หล่อนส่ายศีรษะแรงๆไปมา

จนครูนิยมมอง“เป็นอะไรวีรนุช ไม่สบายหรือเปล่า?”ร้องถามจากหน้าห้องเรียน

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น“ปละ เปล่าค่ะอาจารย์”ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้ในใจจะยังสั่นระรัว เหงื่อเริ่มหยด
รตาหันไปมองเพื่อนเอามือแตะขาของเพื่อนตบลงเบาๆ

“เธอไม่เป็นไรนะวี”ถามเพื่อนเบาๆด้วยความเป็นห่วง ใจตัวเองก็สั่นไม่แพ้เพื่อนนัก

จะมีใครเชื่อว่าวิญญาณของคนที่ตายไปเมื่อหกปีที่แล้วยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่

“เอาล่ะนักเรียนเดี๋ยวไปที่ห้องดนตรีต่อเลยนะ”เสียงของอาจารย์จินตนาที่เดินสวนเข้ามาบอกเมื่อหมดชั่วโมงของคุณครูนิยม

วีรนุชกำลังจะลุกขึ้นแต่...

“รตา..”เรียกเพื่อนที่ไม่ขยับด้วยความสงสัย

“วี..!ฉันไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้แล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ”ก้มหน้าบอกเพื่อนด้วยใบหน้าซีดเผือด“ฉันเริ่มกลัววิญญาณของคุณนิลนาถแล้วสิ”รตาสารภาพออกมาตรงๆหล่อนเข้าใจเพื่อน จึงพยักหน้ารับรู้เงียบๆ

“ จ้ะ เราไปห้องดนตรีกันเถอะ”เอ่ยปากชวนเพื่อนเสียงเบา

ทุกคนอยู่กันครบเมื่อหล่อนและรตาเข้าไปคุณครูก็มองและชี้มือไปที่เก้าอี้สองตัวที่เหลือ

“เป็นไงบ้างวีรนุชย้ายมาที่นี่ตั้งนานแล้วพอจะมีเพื่อนหรือยัง?”คุณครูจินตนาถามเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว
“อาจารย์...”หญิงสาวยิ้มดวงตาเปล่งประกาย

“ต้องพยายามเข้ากับเพื่อนให้มากกว่านี้นะรู้ไหม?”ครูจินตนาบอกด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

แปลกดีเหมือนกันทั้งที่โรงเรียนเก่าก็ออกจะมีเพื่อนมากมายรตาเงียบขรึมลงไป ไม่ช่างคุยเหมือนเมื่อก่อนปภาวดีก็ทำกิจกรรมมากขึ้น

ตอนนี้เหมือนอยู่คนเดียวเลย

ทุกคนหัวเราะสนุกสนานท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนแต่หล่อนไม่มีใครสักคน

เมื่อพักเที่ยงวีรนุชเดินไปหาเพื่อนๆที่นั่งเกาะกลุ่มกัน  “นี่  กินข้าวด้วยกันนะทุกคน”

แต่เจ้ากรรมเพราะความรีบแท้ๆจึงทำให้ขาไปขัดกับโต๊ะเข้า อย่างไม่ได้ระวังจานอาหารพลิกคว่ำลงบนพื้นแตก
กระจายเศษอาหารกระเซ็นใส่เสื้อผ้าของเพื่อนจนเลอะเทอะ

“ว๊าย..!”

“ขอโทษจ้ะขามันขัดน่ะ”ใบหน้าวีรนุชซีดเผือดละล่ำละลักกล่าวขอโทษเพื่อนก่อนจะเข้าไปช่วยปัด แต่เพื่อนกลับปัดมือหล่อนออกอย่างแรง

“จะบ้าเหรอ..ดูซิเลอะหมดเลยไม่ต้องมายุ่ง” สีหน้าที่พูดและมองมายังหล่อนบอกอาการหงุดหงิดอย่างแจ่มชัดก่อนที่เธอจะเดินเข้ากลุ่มเพื่อนๆที่ย้ายโต๊ะไปอีกทาง

วีรนุชก้มหน้าเก็บเศษแก้วชิ้นใหญ่ใส่ถุงแล้วเดินไปหยิบที่โกยขยะกับไม้กวาดมากวาดเศษอาหารที่หกเรี่ยราดไปทิ้งด้วงดวงตาละห้อย

เวลาผ่านไปเชื่องช้าจนน่าเบื่อสำหรับวีรนุชกว่าจะหมดชั่วโมงเรียนในแต่ละวันช่างทรมานนัก

มีข่าวว่าศิลาได้กลับมาอยู่บ้านแล้วแต่ยังเดินเหินไม่คล่องจึงมาโรงเรียนไม่ได้

“พรุ่งนี้มีทัศนศึกษาเราจะไปกันที่สวนสัตว์เขาเขียวล่ะวี ต้องสนุกแน่ๆ เลย”ปภาวดีเดินเข้ามาหาบอกด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้ไม่มีกิจกรรม รตาแม้จะเงียบไปคุยน้อยลง แต่ก็ยังมาเข้ากลุ่มบางครั้ง

“ดีจังเลยนะวดีคิดถึงศิลาจัง”วีรนุชตื่นเต้น และคิดถึงเพื่อนไปด้วยพร้อมกัน เสียดายนักที่ไม่มีศิลาไปด้วยนานๆจะไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้สักที่

“ฮื่อ..ใช่เสียดายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ วันนี้เดี๋ยวเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านพรุ่งนี้มาแต่เช้านะวี รตาบายจ้ะ”ปภาวดีทักทายก่อนจะกลับไปนั่งโต๊ะเรียนอีกวิชาหนึ่ง

คืนนี้หล่อนจะสวดมนต์แผ่เมตตาบทใหญ่จะได้นอนหลับสบายตลอดจนถึงเช้าเหมือนทุกคืน

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*****ดวงตาอาฆาต ๑๖*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

วีรนุชเหงื่อชุ่มมือที่กำใจสั่นหวิว  กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงยหน้ามองไปทางชายหนุ่มที่ยืนไม่ห่างจากศิลาสายตาเหมือนจะถาม แต่ก็ไร้สรรพเสียงใดลอดออกไป

ใครที่ไหนเขาจะเชื่อหากเล่าไปว่าในห้องปรับอากาศแบบนี้ลมจะเข้ามาได้ทางไหน? 

วิมมีใบหน้าเคร่งขรึมสายตามองไปที่สี่สาวทีละคนเหมือนจะถาม. 

“ลมมาจากไหน?


ตลอดช่วงปิดเทอมพวกหล่อนยุ่งอยู่แต่กับเรื่องวิญญาณและหาข้อมูลของนิลนาถจนเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวโรงเรียนจะเปิด

คืนนั้น  ท่ามกลางความมืด แสงอ่อนๆ ของดวงจันทร์ทำให้เกิดเงาสะท้อนจากต้นไม้ ที่อยู่บริเวณนั้นจนทั่วถึง นานๆครั้งจะได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรขึ้นมา สักพักมันก็เงียบไปความวิเวกวังเวงก็เข้ามาแทนที่

ครืดดด...

เสียงลากเก้าอี้ !

ใคร?

มือไม้สั่นขึ้นมาทันทีแต่ความกลัวและอยากรู้ อยากเห็นจึงทำให้มือเอื้อมกดสวิสไฟอย่างเร็วจนนาฬิกาปลุกตกลงมานอนเค้เก้กับพื้นเสียงดั่งสนั่น

พรึ่บบบ..

กริ๊งงงงง..

สายตามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไร หญิงสาวลุกขึ้นไปหยิบนาฬิกาขึ้นมาพาเดินไปนั่งบนเตียง

“วี..ทำอะไรอยู่น่ะลูก?ดึกแล้วนะ เขาห้ามลากเก้าอี้ในตอนกลางคืน”เสียงมารดาเอ่ยถามมาจากห้องข้างๆ
เท่านั้น วีรนุชมือไม้อ่อน สั่นระริก รีบแกะถ่านออกจากเครื่องเพื่อระงับเสียงหล่อนแกะผิดแกะถูก เหวี่ยงถ่านลงบนที่นอน ดึงผ้าห่มมาคลุมร่าง หัวใจเต้นโครมคราม มือค่อยๆ แง้มผ้ามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ประสาทตึงเครียด
จนเช้า

วันเปิดเทอม

วีรนุชอาบน้ำแต่เช้า และลงมารอ รถด้านล่าง เปิดเทอมวันนี้หล่อนตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน อยากเจอเพื่อนๆ อยากเล่าอะไรให้เพื่อนฟังเยอะแยะ จนรถมาจอดหน้าบ้าน

“คุณแม่ หนูไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”ยกมือไหว้มารดาอย่างเร็วแล้วเดินไปขึ้นรถ
เมื่อมาถึง เพื่อนๆ มากันแต่เช้า และจับกลุ่มคุยกันหล่อนมองหารตาและปภาวดีในห้องไม่เห็น  ควานมือหยิบกระเป๋าเงินใบน้อยขึ้นมาเตรียมจะเดินออกจากโต๊ะ

ตึกกก

“วี แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว..บ้านศิลา บ้านของศิลา”รตาเอามือแตะหน้าอกเอาไว้กลืนน้ำลายที่มาจุกคอหอยให้ลงไปแต่ไร้ผล ใบหน้าซีดเผือด จนหล่อนตกใจ

“อะไร มีอะไรเกิดขึ้นเหรอวดี? ”วีรนุชหันไปถามหัวหน้าห้องมือหล่อนก็ลูบหลังลูบไหล่เพื่อนเบาๆ

“ฮื่อ..! เมื่อคืนน่ะเกิดไฟไหม้ขึ้นที่บ้านของศิลาโดยไร้สาเหตุ แต่โชคดีที่ดับทันตัวของศิลานั้นวิ่งลงบันไดด้วยความตกใจ เกิดพลาดตกลงมาขาหักตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล พี่วิมเพื่อนของพี่มณีมาบอกด้วยว่าฟิล์มที่เราถ่ายนั้นไหม้หมดเลยล่ะ”วดีเล่ายาว

วีรนุชอ้าปากค้างก่อนจะเอ่ยถามออกมา  “ว่าไงนะ!ฟะ ไฟไหม้เหรอ? ”

วันนั้นทั้งวัน ทุกคนเรียนไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีที่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกชั่วโมงเรียนจึงไม่หนัก

ปภาวดีเข้ามากระซิบบอกเอาไว้หลังมื้อเที่ยงว่า  ตอนเย็นเราทั้งสามจะไปเยี่ยมศิลาที่โรงพยาบาล

พอเริ่มเข้าชั่วโมงที่หก วีรนุชก็ใจคอไม่ดีเหมือนเคย

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*****ดวงตาอาฆาต ๑๕*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

ทุกคนมีใบหน้าถอดสี เหงื่อเม็ดเป้งๆโผล่ตามหน้าผากมน ใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ

“ตอนนั้น ฉันมั่นใจไม่มีใครเดินล่วงหน้ามาแน่ และเป็นไปไม่ได้ว่าลุงจำเริญจะล่วงหน้าพวกเรามาที่ห้อง ลุงแกคงไม่หลอกพวกเราแน่นอน แล้วตอนไปถึง เราก็เสียบกุญแจก่อน จะหมุนให้ลูกบิดคลายล๊อกนี่นา?”วดีบอกทุกคนเพราะเธอเป็นคนถือกุญแจมากับมือ

“แล้วมือที่โผล่ออกมาเป็นมือของใครล่ะ?”รตาถามเพื่อนๆ

คราวนี้สายตาทุกคู่เงยขึ้นประสานกันโดยไม่ได้นัด..?



“ตอนที่เดินไปถึงหน้าห้อง แล้วไขกุญแจเปิดเราไม่มีใครเปิดกุญแจใช่ไหม? สังเกตกันหรือเปล่า ว่าภาพที่ถ่ายมาชัดมากๆ ”วดีตั้งข้อสังเกต

“และนี่เป็นภาพสุดท้าย”ศิลาวางภาพถ่ายไว้บนโต๊ะเมื่อวิมเคลียร์รูปออกหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงรูปจัมโบ้ใบเดียวที่โดดเด่น   “ดูในรูปสิ โต๊ะที่ ๔ มีใครนั่งอยู่  ! แถมก้มหน้านิ่ง ผมยาวและมีละอองฝนเกาะที่กระจกหน้าต่างด้วยเราไม่ได้ยินเสียงฝนกันนี่นาวันนั้น ใช่ไหม? ”

วีรนุชและเพื่อนๆ มองภาพถ่ายบนโต๊ะด้วยอาการหนาวยะเยือกเหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่หน้าผากขนลุกซู่ไปทั่วร่าง แขนขาเหมือนจะขยับไม่ได้ชั่วคราว

อา..!

ภาพผู้หญิงในชุดนักเรียนคอซองที่นั่งหันหลังให้ตรงโต๊ะ ๔ ริมหน้าต่าง ผมที่ยาวปกปิดใบหน้าละอองน้ำฝนที่เกาะอยู่ชวนให้ความคิดมันแล่นไปไกลลิบ

“เห็นไหม?นี่คือหลักฐานยืนยันว่าคุณนิลนาถยังสิงสถิตอยู่ที่โรงเรียนและที่โต๊ะตัวที่หล่อนซบลงขาดใจตาย”ศิลากล่าวออกมา

“ดูจากฟิล์มก็รู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำขึ้นเอง”ชายหนุ่มพูดขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นอาการของสี่สาว

“หากเราเอาภาพนี้ไปให้อาจารย์ทุกท่านดูและบอกให้หมอผีมาทำการขับไล่วิญญาณออกไป ทุกคนคิดว่าอาจารย์จะเห็นด้วยไหม? ”ศิลาถามความเห็นเพื่อนๆ

“ไม่รู้นะ กลัวแต่จะโดนตะเพิดนะสิ”ปภาวดีกล่าวออกมาบ้าง หลังจากที่มองคนนั้นทีคนนี้ที

“พอเปิดเทอม ฉันนี่ล่ะจะไปรับหมอผีมาขับไล่วิญญาณของคุณนิลนาถด้วยตัวเอง”น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเด็ดเดี่ยวมือกำเข้าหากันแล้วชู้ขึ้นด้วยความมั่นใจ

และนาทีที่คำพูดของศิลาจบลงสายลมปลิววูบเข้ามาปะทะใบหน้าของทุกคนจนแก้วพาสติ๊กที่วางอยู่อีกโต๊ะล้มก่อนจะตกลงมาน้ำกระจายเต็มพื้น

พลั่กกก...!

ว๊ายยย...ตาเถร..

ทุกคนมีใบหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด รตาอุทานผวาเข้ากอดปภาวดีเอาไว้แน่น ปากสั่นระริก
วีรนุชเหงื่อชุ่มมือที่กำ ใจสั่นหวิว  กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงยหน้ามองไปทางชายหนุ่มที่ยืนไม่ห่างจากศิลาสายตาเหมือนจะถาม แต่ก็ไร้สรรพเสียงใดลอดออกไป

ใครที่ไหนเขาจะเชื่อหากเอาไปเล่าให้ฟัง ว่าในห้องปรับอากาศแบบนี้ลมจะเข้ามาได้ทางไหน?

วิมมีใบหน้าเคร่งขรึม สายตามองไปที่สี่สาวทีละคนเหมือนจะถาม.

“ลมมาจากไหน?

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*****ดวงตาอาฆาต ๑๔*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

วีรนุชมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย  เพราะผีถ้วยแก้วเอย วิญญาณพเนจรเอยภาพถ่ายติดวิญญาณอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นเคยนึกว่ามีแต่ในทีวีและหนังสือเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัวเองเลย

ศิลายกมือพนมขึ้นเหนือเทียบอก ปากขมุบขมิบ

สาธุหากวิญญาณของคุณนิลนาถยังอยู่ที่ห้องนี้ ได้โปรดปรากฏร่างด้วยเถอะ...!

ในวันที่ใกล้จะเปิดเทอม

กริ๊งงง...

“ฮัลโหลวี..! เราล้างฟิล์มเสร็จแล้วนะ อยากดูหรือเปล่า?”เสียงศิลาดังมาตามสายด้วยความตื่นเต้น ชวนให้อยากดูรูปขึ้นมาบ้างแม้ในใจจะเกิดความกลัวแต่ความอยากเห็นมีมากกว่า

“เดี๋ยวเราออกไปนะศิลาเธออยู่ที่ไหนเหรอตอนนี้”ตอบกลับอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“เราอยู่ที่ร้านแมคโดนัล ไม่ไกลจากบ้านเธอหรอกจ้ะออกมาสิ วดีกับรตาก็มานะ เราเลยโทรบอกวีนี่ล่ะ”เสียงศิลาชวนและตอบคำหล่อนชัดเจน

“โอเคจ้ะ เดี๋ยวเจอกันนะ  บาย”วีรนุชวางสายและเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะเดินลงไปขออนุญาติจากมารดา

วดีกับรตามากันแล้ว ไม่นานวีรนุชก็โผล่ที่ประตูทางเข้า

“วีมาแล้ว”บอกเพื่อนทุกคน  “วี.! ทางนี้จ้ะ”ศิลาเรียกเบาๆ จากชั้นสอง

เท่านั้นวีรนุชก็เดินขึ้นไปข้างบนเห็นรตาและวดีนั่งดูรูปอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดหันมายิ้มรับเพื่อน

“มีวิญญาณด้วยนะวี มาดูเร็ว”รตาน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อหล่อนเดินไปใกล้

ศิลาลุกขึ้นยิ้มทักทายตอบมาพร้อมชายหนุ่มที่ยืนขึ้นเคียงกัน“กำลังคอยอยู่เลย”

“หวัดดีจ้ะศิลา รตาวดีและก็..”ร้องรับคำทักทายจากเพื่อนเสียงใส

“มาๆนี่เลยวี นี่พี่วิมเป็นเพื่อนพี่มณีพี่สาวเราเป็นคนล้างฟิล์มพวกนี้จ้ะ”แนะนำเพื่อนด้วยรอยยิ้มเบิกบานก่อนหันไปทางชายหนุ่ม“พี่วิมนี่วีรนุชเพื่อนศิลานะคะ”

“พี่เทออกมาดีกว่า จะได้หยิบถนัดไง”วิมเทรูปในเป้ออกมาบนโต๊ะให้สาวๆเลือกหยิบขึ้นมาดู

“ค่ะพี่วิม อ้อ..! วีทานอะไรมารึยังจ้ะ?”พยักหน้าให้ชายหนุ่มก่อนจะหันไปถามเพื่อนเมื่อสายตาเหลือบเห็นจานที่วางอยู่อีกโต๊ะใกล้ๆ

“เรียบร้อยแล้วล่ะจ้ะศิลาแล้วทางนี้วีคงไม่ต้องถามหรอกนะ เห็นๆ กันอยู่”กล่าวบอกเพื่อนแกมหยอก

“แหะๆ จ้ะ ก็เห็นแล้วนี่”ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเพื่อนแซวมา

“เราถ่ายไปสิบม้วน ก็๓๕๐ใบ แต่มีรูปที่ติดวิญญาณแค่๕ รูปเองนะ”ศิลาใช้มือปาดรูปออกให้กระจายเต็มโต๊ะ และหยิบภาพที่ตนรัดหนังยางไว้ขึ้นมาหลังจากที่รตาดูเสร็จ

“อยู่นี่จ้ะ รูปที่ติดดวงไฟและวิญญาณนะ”ศิลาส่งให้วีรนุช“รูปส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร นอกจากภาพในห้อง”วีรนุชก้มมองภาพที่รับมาถือไว้ดวงตาเปล่าประกายตื่นเต้นเพราะดวงไฟกลมนั้นโฉบไปเป็นลำแสงยาวลอยวนอยู่หน้าห้องเรียนแถวบันไดทางขึ้นมา

อีกรูปเป็นรูปหน้าห้องเรียน แต่ภาพถ่ายที่ออกมาชัดเจนแม้จะไม่มีแสงสว่างมากนัก

“นี่ๆ ดูซิ ดูเลยวี เห็นไหม?  เห็นเงาคนยืนอยู่รึเปล่า? หน้าห้องเอแม้จะมองไม่เห็นเงาบนพื้น เงาที่เห็นบอกได้เลยว่าเป็นรูปร่างของคน แม้จะไร้ขา”ศิลาชี้มือให้ดูรูปพร้อมคำอธิบายโดยละเอียด  น้ำเสียงที่พูดมาบอกอาการตื่นเต้น

วีรนุชและเพื่อนอีกสองคน หนึ่งหนุ่มชะโงกใบหน้าเข้าไปมองและเห็นพ้องตามนั้น หญิงสาวรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาเฉยๆ จนต้องยกมือขนาบกับอกใบหน้าซีดเผือด ปากเม้มเข้าหากันแน่น พยายามกัดริมฝีปากเอาไว้อย่างเต็มที่ความเงียบเริ่มปกคลุมบริเวณชั้นบนนั้นชั่วคราว

วิมหยิบภาพอีกภาพยื่นส่งให้ศิลา  “นี่อีกรูปหนึ่ง”

ศิลาวางแผ่นเก่าลงบนโต๊ะให้รวมกับแผ่นอื่น  “ภาพนี้ทุกคนสังเกตที่ประตูนะ ก่อนที่เราจะไปถึงหน้าห้อง ฉันถ่ายเอาไว้ ประตูมีรอยแง้มโดยที่เราไม่มีโอกาสเห็นหากไม่ใช่ภาพถ่าย ทั้งๆ ที่เรายังไปไม่ถึงหน้าห้องมีใครอยู่ในห้องตอนเราเดินเข้าไป? กุญแจก็ยังอยู่กับเรา  จะว่าลุงจำเริญก็ไม่น่าใช่”พูดจบก็มองหน้าเพื่อนๆ

“แล้วมือที่ยื่นออกมาเป็นมือของใครกัน?”วดีถามขึ้นลอยๆ

ทุกคนมีใบหน้าถอดสี เหงื่อเม็ดเป้งๆโผล่ตามหน้าผากมน ใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ

“ตอนนั้น ฉันมั่นใจไม่มีใครเดินล่วงหน้ามาแน่ และเป็นไปไม่ได้ว่าลุงจำเริญจะล่วงหน้าพวกเรามาที่ห้องลุงแกไม่หลอกพวกเราแน่นอนและตอนไปถึงเราจะต้องเสียบกุญแจก่อนจะหมุนให้ลูกบิดคลายล๊อกนี่นา?”วดีบอกทุกคน เพราะเธอเป็นคนถือกุญแจเอง

“แล้วมือที่โผล่ออกมาเป็นมือของใครล่ะ? ”รตาถามเพื่อนๆ

คราวนี้สายตาทุกคู่เงยขึ้นประสานกันโดยไม่ได้นัด..?

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

*โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ*

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

~*ด้วยรัก*~




/นั่งถักทอสายรุ้งจากทุ่งกว้าง
ที่สว่างด้วยแสงแห่งความหวัง 
ความคิดถึงส่งให้เป็นพลัง
ผ่านสายฟ้าอีกฝั่งด้วยตั้งใจ

/ยังบอกรักฝากไว้ใต้ขอบฟ้า
กับดวงจิตอ่อนล้าและสั่นไหว
เพราะอยู่ห่างเหลือเกินจะเดินไป
คิดขึ้นมายามใดได้น้ำตา

/ฉันจึงกลั่นถ้อยฝากลมเย็นถึง
กระซิบคำหวานซึ้งว่า”ห่วงหา”
ให้ดวงดาวพราวพร่างกลางนภา
กระพริบบอกเธอว่า”ฉันห่วงใย”

/ถ้าได้เป็นคนสำคัญในวันหนึ่ง
ไม่ต้องนั่งรำพึงกว่าถึงได้
ขอเป็นคนที่เธอรักพร้อมปักใจ
อยู่เคียงใกล้ไม่ไกลใจละเมอ

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ร่วมร้อยใจมอบถวายแก่พ่อหลวง



ร้อยรักให้ยืนนาน
ก่อนผสานเป็นหนึ่งใจ
ร้อยพันฝันยิ่งใหญ่
รวมกันไว้ในแผ่นดิน

สานใจให้เป็นหนึ่ง
เพื่อตราตรึงไม่สูญสิ้น
มอบถวายองค์ภูมินทร์
ตราบชีวินสิ้นมลาย

ร่วมกันร้องเพลงชาติ
ป่าวประกาศด้วยมุ่งหมาย
ทุกแห่งที่แฝงกาย
ร้อยทุกสายของสัมพันธ์

ร้อยเอยร้อยดวงใจ
ทั้งเหนือใต้สมานฉันท์
ด้วยเราพี่น้องกัน
ร่วมแบ่งปันกำลังใจ

รอยยิ้มไม่ต้องซื้อ
แค่จับมือก้าวเคียงใกล้
ฝ่าฟันมิหวั่นใด
ดับโพยภัยให้ร่มเย็น

ร้อยดาวที่พราวพร่าง
จันทร์กระจ่างส่องทางเห็น
ร้อยฝันร้อยจันทร์เพ็ญ
ให้งามเด่นเป็นหนึ่งเดียว ฯ

ทีฆายุ โกโหตุ มหาราชา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านานด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า นางสาว พลอยตะวัน ปุญชรัศมิพงศ์

05/12/2556

~*เคียงขวัญ*~



/นั่งมองจ้องดาวพราวฟ้า
แหงนหน้าคราเดือนเลื่อนผัน
ใจคิดจิตครวญป่วนปั่น
ร่วมฝันมั่นรักถักทอ

/สองใจไม่คลายหายห่าง
เคียงข้างอย่างเก่าเฝ้าก่อ
ทุกค่ำฉ่ำชื่นตื่นคลอ
พะนอต่อคำร่ำไป

/เธอถักปักร้อยถ้อยหวาน
ขับขานหว่านพรมขมไหม้
เอ่ยพร่ำลำนำย้ำใจ
อุ่นไอใกล้รุ่งทุ่งทอง
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background