Translate

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เถอะ..จะไม่ห้าม..ความคิดถึง


ฉันไม่ห้ามให้เธอหยุดเพ้อถึง
อยากให้นั่งคะนึงตรึงใจเกี่ยว
คนคิดถึงนั้นดีมากมากเทียว
ใครจะเหนี่ยวคอห้าม เชิญ ตามใจ
เพราะฉันรู้เธอดื้อ ยึดถือรัก
มิข้องแวะกลัวอกหักกับรักใหม่
แต่ทรวงหนึ่งอกนั้นก็ฝันไกล
อยากอยู่ใกล้คนงามที่ตามรอ
ด้วยลมปากหวานหูฟังดูชื่น
กับความรักดาษดื่นระรื่นหนอ
ไม่มีวันลืมกันมั่นพะนอ
เธอบอกจะไม่ท้อขอตามดู
แล้ววันนี้ใยบอกไกลเกินหวัง
ทุกสิ่งยังห่างไป หรือใจไม่สู้
ความรักซึ้งตรึงตาพาชื่นชู
ไม่มีอยู่ในใจที่ไหวเอน
ฉันก็อยู่ของฉันวันว่างว่าง
มั่นเพียรหยิบรูปวางอย่างหลบเร้น
คนของใจไม่มาหาทุกเย็น
คงจะเห็นว่ารัก ทำหนักทรวง

ฉันก็รู้ จึงอยู่อย่าง คนเจียมตัว
ไม่กล้าไปยิ้มหัวกลัวเขาหวง
แต่ตอนนี้ฉันล้ากับหน้าลวง
ที่ส่งรักมาหน่วง..รั้งดวงใจ...ฯ

© พลอยตะวัน แพรอักษร
 21/12/57

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

..ลอยกระทง..



กราบขอพรป้อนคำย้ำกับแม่
ขอดวงแดลูกใสไกลจากเรื่อง
อย่าได้สบความทุกข์สุขนองเนือง
พบแต่ความรุ่งเรืองตลอดปี

เดือนสิบสองน้ำนองเต็มตลิ่ง
เป็นเรื่องจริงแต่โบราณนานกว่านี้
หลายขวบย่างเดินมา หนาชีวี
มิลืมเลือนประเพณีดีของไทย

แสงจันทร์นวลอร่ามงดงามนัก
มิตรภาพบวกความรักถักเคียงใกล้
ผลัดเปลี่ยนกันก้าวเดินลงกระได
ปล่อยกระทงคู่ใจให้ล่องลอย

บางคนมี คู่อยู่ข้างอย่างแนบชิด
สองดวงจิตอธิษฐานหวานไม่น้อย
ขอพรต่อพระแม่แผ่มาคอย
ให้ทุกถ้อยศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธา ฯ

สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ ทุกๆท่าน
© พลอยตะวัน แพรอักษร

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

~* ถามหา ความรัก *~




*อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายจุดหมายห่าง
ในคืนร้างเดือนแรม ไม่แจ่มฟ้า
คิดทดท้อต่อชีวิตลิขิตมา
ความสุขไกลอุรา ยากคว้านัก

*สูญสิ้นหวังพลังใจในตอนทุกข์
ยากจะปลุกคืนกลับจับพันหลัก
อ่อนระโหยโรยแรง แหล่งที่พัก
หาใครรักจริงใจนั้นไม่มี

*สู้กลืนกลบลบรอยอย่างหงอยเหงา
ยิ้มกับรักแสนเศร้า เขาพาหนี
ถามหารักจากใคร ยากได้ดี
จึงสะอื้นอย่างนี้ ที่ริมคลอง

*ช่างเงียบเหงาเหลือใจ คนไกลเอ๋ย !
อ้างว้างก็ยังเคย เผยหน้าหมอง
อยากเดินเล่นริมเล คลื่นเทฟอง
จะนั่งมองทรายลู่ กับผู้คน

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อยากให้เธอรับ รู้…




โปรดจงรับรู้ เถิดว่ารัก
ในดวงจิตตระหนัก อยู่เสมอ
ในห้วงลึกอารมณ์ข่มละเมอ
ยากนักใครจะเจอ  แต่เธอครอง

ทิ้งไปบ้างความทุกข์ น่ะยอดรัก
เรื่องเลวร้ายหน่วงหนัก ผลักอย่าข้อง
ปล่อยมันผ่านวัยวันตามครรลอง
คว้าไฟฝันใส่ห้อง ปองในทรวง

อยากให้ฟังกันบ้างยามห่างหน้า
ทุกเรื่องร้ายปัญหาอย่าได้ห่วง
ให้ยึดมั่นวันคืนก่อนตอนเราควง
อยู่กับห้วงดวงใจ ใช่หวั่นรอ

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

*~ในภวังค์~*


เหมือนนกน้อยไร้รังนั่่งผ่อนพัก
เหมือนเรือหักหมุนคว้างกลางวิถี
เหมือนว่าความโหดร้ายมากมายมี
เหมือนไม่จากสักที มีมากจัง

มีความฝันเคยก่อต่อเมื่อก่อน
ยากจะย้อนคืนกลับนับถอยหลัง
วานนี้นะยังมากมายพลัง
ตอนนี้หมดความหวัง ยังไม่คืน

แต่ก็พร้อมจะลุกขึ้นสู้ใหม่
บวกกำลังแรงใจมิตรได้ชื่น
ไม่พะวงหลงฝันมั่นหยัดยืน
ยิ้มกลบกลืนขืนข่มทุกข์ตรมไกล

ด้วยเพราะมีแสงหม่นปะปนทั่ว
ดำขะมุกขะมัวจนกลัวไหว
มากระชากลากลงลึกอย่างไว
หมดหรือ?ทางเดินไปของใจเรา

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

~* รักเธอเสมอ *~



ตอนฉันอยู่กับเธอ ใจเผลอคิด
เหมือนฉันติดบ่วงรักเสน่หา
ที่วนเวียนเปลี่ยนตามกาลเวลา
พร้อมคิดว่า อยากหยุดที่จุดเดิม

ด้วยเพราะคิดถึงเธอเสมอมั่น
กาลเวลาพาฉันกลับไปเริ่ม
ความทรงจำก่อนเก่ารุมเร้าเติม
ปลุกฝันเพิ่มรอยช้ำตอกย้ำใจ

เก็บความสุขเอาไว้ในส่วนลึก
ปิดผลึกด้วยกาวแวววาวใส
หยาดน้ำตารินร่วงรดห้วงใน
มองคนรักร้องไห้ หวั่นไหวตรม

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

~* แค่นั้น... *~


บางเวลาพาใจให้อยากรู้
ความเป็นอยู่ทุกตอนเหมือนสอนฉัน
เฝ้าเกาะติดตามดูอยู่ทุกวัน
ใครนะใครที่เธอปันฝันให้ครอง

คอยเดินผ่านชำเลืองแลชะแง้ข้าง
ทำทุกทางดุจเงาไร้เศร้าหมอง
แต่สุดช้ำยากทำใจให้ทนมอง
เพราะในห้องนั้นมีคนเธอบ่นรอ

ฉันคงเป็นแค่คนบุคคลหนึ่ง
ไม่มีใครจะซึ้งให้ถึงง้อ
ความเมินเฉยที่บอกยอกอกพอ
ครั้นจะพ้อว่าอึดอัดกลัวขัดใจ

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

~* ความรัก *~


/ฉันมีวันที่เคยหัวใจสลาย
เจ็บปวดแทบปางตาย ยากถ่ายถอน
 คำว่า “รัก”ผลักฉันกระเด็นกระดอน
 หมดแล้วหวังทุกตอน ก่อนเคยมี

/เวลาผ่านมานานจากวานก่อน
 เฝ้าพร่ำเพ้อ อาวรณ์นอนทุกที่
 น้ำตานองครองแก้มเป็นแรมปี
 ความพ่ายแพ้เคยมี นี่ความจริง

/ฉันแค่ล้มตรมตรอมแต่ยอมรับ
 กายค่อยค่อยยอมปรับกับสรรพสิ่ง
 แต่ใจนั้นรักเธอ เพ้อแอบอิง 
คงยากยิ่งหากจะตัดสลัดไป

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รักนี้ไม่มีลืม..



อยู่คนเดียวเปลี่ยวเปล่าเฝ้าคิดถึง
คนที่ซึ่งทำให้ใจร้องร่ำ
คิดถึงเขาเฝ้าเพ้อละเมอประจำ
ทุกคืนค่ำขอสักนิดคิดถึงเธอ

อยากจะลืมชื่อเขามิเข้าใกล้
แต่หน้าเขากลับลอยให้เห็นเสมอ
จดจำคำพูดเขาคราวปรนเปรอ
แค่เขาเผลอปากหวาน ทำซ่านทรวง

ก็ความรักของฉันนั้นมีมาก
และก็ยากจะผลักจนชักหวง
รู้ทั้งรู้เขาไม่รักดักถามทวง
ตามเป็นห่วงเช้าเย็น มิเว้นวัน

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เพราะ..คิดถึง



/เมื่ออยากลาพาตัวไกลไปจากฉัน
ก็เชิญเถิดเพราะนั่นมันสิทธิพี่
อยู่ก็เหมือนไร้เงาเข้าทุกที
มันเก็บกดนักนี่ที่ผ่านมา

/เธอมีความรันทดเพราะหมดรัก
ฉันกลุ้มหนักเมื่อมองจ้องใบหน้า
อยากลุกหนีก็จนด้วยปัญญา
เพราะเหตุว่าดึกดื่นต้องขืนทน

/คงจะมีโลกสวยรอเราคว้า
มีดอกไม้ใบหญ้ากล้ายืนต้น
ระยะทางยาวไกลใช่อับจน
หมั่นฝึกฝนค้นหาอย่างท้าทาย

/อะไรก็ได้ที่ใจคิด
ไม่มืดมิดหรอกทางจะสร้างหมาย
มีสดชื่นขื่นขมมิตรมวาย
แต่สุดท้ายก็ได้ฝันนั้นมาเคียง

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทุกยาม


/ที่รัก! ฉันนั้นพอจะรู้และเข้าใจ
เพราะเธอนั้นอยู่ในห้วงอารมณ์ฉัน
สถิตในความคิดฉันทุกวัน
มีเหตุผลรักมั่นนั้นเรื่อยมา

/ที่รัก! คุณมีฝันเรื่องอะไร
บอกกับฉันก็ได้ใคร่ไขว่คว้า
จะจัดให้เสมอทุกเวลา
ถึงปีนป่ายใจก็กล้าหาทูนเธอ

/ ที่รัก! อย่าร่ำร้องไห้จนหนัก
รู้เถิดรัก ย่อมมีบทพร่ำเพ้อ
เขาไม่สนไม่แคร์แลปรนเปรอ
หยุดละเมอถึงเขาเหงาทุกยาม

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

*กฏแห่งกรรม*




*อยากสาปส่งผู้ชายที่ร้ายโฉด
ขอกล่าวโทษการกระทำอันต่ำช้า
ทำใครเศร้าเฝ้ารักหนักอุรา
ก่อนจะพาตัวไกลใครระทม

*จะบังสุกุลคนหลอนตอนชายชั่ว
ที่ทำตัวมั่วกามพล่ามเสพสม
เที่ยวเร่รักค้างแรมแซมจนตรม
ตามอารมณ์ที่มีมิสร่างซา

*หรือว่าเป็นซาตานสันดานแล้ว
ได้ยินข่าวแว่วแว่วขึ้นแนวหน้า
ใครคนไหนจะทุกข์ต่อกันนา
ที่จะเจ็บซึ้งอุราต่อจากเรา

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

...รัก...





/ในโลกนี้มีคนอยู่มากมาย
ตั้งหลากหลายอาชีพที่น่าทึ่ง
เราต่างก็เป็นคนอีกคนหนึ่ง
ที่มีรักแสนซึ้ง..ไม่ธรรมดา

/ก็โลกนี้กว้างใหญ่อย่างไพศาล
นำเรามาพบพานด้วยห่วงหา
คงจะเป็นความพิเศษแสนมีค่า
ที่เราต่างค้นหาจนมาเจอ

/ ฉันขอเก็บวันดีดีอันนี้ไว้
พร้อมดูแลดวงใจอยู่เสมอ
ดีใจนักดีใจใช่ละเมอ
เพราะรักเธอรักเสมอเพ้อเรื่อยเลย

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุ่นอ้อมอก...แม่




*ก่อนแม่ท้องต้องทุกข์มิสุขนัก
แต่ด้วยรักลูกน้อยคอยห่วงหวง
ร้องโอ๊ก อ๊ากอยากเปรี้ยวเสียวแสบดวง
ทั้งมะม่วง ทุเรียน แวะเวียนกิน

*พอครบครรภ์ดันคลอดลอดมายาก
แสนลำบากก็พร้อมยอมทั้งสิ้น
อยากเห็นเจ้าเฝ้ารอพ้อดวงจินต์
ใคร่ถวิลเนิ่นนานที่ผ่านมา

*เฝ้าแกะคำนำใส่ในสำนึก
ทั้งรำลึกถึงคุณแม่แกบ่นว่า
โอ้ลูกเอ๋ยลูกรักหักใจลา
ถ้าสิ่งใดไม่ได้มาก็อย่าพาล

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หากฉันมี....



/หากฉันมีเวลาแม้นาที
จะพรอดพร่ำคำที่ดีให้เสมอ
ฝากถึงคนอยู่ไกลใฝ่ละเมอ
อย่าได้เผลอเงียบเหงาหรือเศร้านาน

/หากฉันมีเวลาแม้นาที
ก็อยากนั่งข้างพี่ร้อยกวีขาน
คงสดชื่นรื่นรมย์ในดวงมาน
ไปตราบนานไม่ลืมปลื้มทุกวัน

/หากฉันมีเวลาแม้นาที
จะล้อมเมฆสร้างสีรุ้งกับทุ่งฝัน
ฝากมาให้ยามเธอเศร้าเหงาเฉียบพลัน
พร้อมโอบฟ้าฝากตะวันก่อนจันทร์เยือน

รัก...ยากจะฝืน



/เฝ้าเวียนแวะและดูอยู่ห่างห่าง
กับคนที่มาสร้างทางให้ฝัน
หลงคิดไกลใจเพ้อเหม่อรำพัน
อยากเคียงข้างทุกวันจากนั้นมา

/ถึงเขามีคู่ครองที่ปองมั่น
ก็ไม่ใช่ว่าฉันนั้นจะล้า
ไม่เคยเรียกร้องเธอจ้องตา
เสน่หาละเมอจนเพ้อตรม

/แค่ฉันหลงรักเขาตอนเหงาจิต
แล้วมันผิดมากหรือไรใจยากข่ม
ฉันใช้สิทธิ์สร้างสวรรค์กลั่นอารมณ์
มันก็ปมของใจฉันเธอหวั่นใย

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คนล่าฝัน


/เมื่ออุษาส่องสาดวาดขอบฟ้า
ได้เวลาของเราที่เฝ้าฝัน
หอบชีวิตก้าวย่างอย่างทุกวัน
ไล่คว้าฝันตามหัวใจที่ใฝ่ปอง

/นั่งมองนกผกผินบินไปทั่ว
ไม่เกรงกลัวแม้ไกลใจไม่หมอง
เหมือนจะเตือนว่าชีวิตลิขิตครอง
นั้นจะต้องต่อสู้รู้ดิ้นรน

/ก็ชีวิตเรานี้มีเยอะแยะ
จำข้องแวะอยู่เสมอทุกแห่งหน
มีเกิดดับนับเนื่องเรื่องของคน
จะสับสนทำไมให้ทรมาน

/มันอยู่ที่หมายมั่นฝันแบบไหน
จะติดตามฝันใดให้สุขศานต์
มีสดใสมีหมองหม่นอนธการ
สอดประสานให้เห็นเป็นธรรมดา

/ตราบแผ่นฟ้าผืนดินมิสิ้นสูญ
ความอาดูรอาจรออยู่เบื้องหน้า
มีเงื่อนปมมากมายที่ทายท้า
ขอเพียงอย่ายอมแพ้แม้ความตาย

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ลาทีความระทม...



*คิดถึงคนห่างไกลใจห่วงหา
ทุกเวลาพะวงหลงเฝ้าฝัน
อยากจะย้อนคืนล่วงกับดวงจันทร์
ตอนนับดาวร่วมกันวันแสนดี

*จากก่อนนั้นผ่านมาพาใจนึก
ยังรำลึกถึงเสมอเพ้อทุกที่
ยังรอคอยเธอเยือนเหมือนทุกปี
มิเคยร้างห่างสักทีหรือหนีไกล

*ดวงฤทัยมั่นคงตรงแน่วแน่
มิเคยหันหรือผันแปรตาแลไหน
เสียงหัวเราะคราวก่อนยอกย้อนใจ
ทำหวาดหวั่นสั่นไหวร้อนในทรวง

*ก็เสียงอ้อนออดหวานยังซ่านหู
รักชื่นชูเคยเคียงก่อนเบี่ยงช่วง
ยังจำได้ทุกคำกล่าวคราวเธอลวง
มันฝังใจติดห้วงดวงวิญญาณ

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กำลังใจ เพื่อเธอ


*ตัดขาดความกลัว
เลิกเป็นกังวลเวลาจะทำอะไร
แม้อาจจะไม่มั่นใจมาก
แต่ก็ทำไปด้วยความหวาดกลัว
ถ้าเธอกล้าที่จะใช้ชีวิต
เธอก็จะไม่กลัวชีวิต

04/06/57

กำลังใจ ให้ก้าวต่อ




*คนเรา บางครั้งก็ชอบทำร้ายคนรอบข้าง
เพียงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสาแก่ใจ
เพียงเพื่อจะให้ความเจ็บปวดของคนอื่น
....มาบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเอง
ทั้งๆ ที่ เมื่อเราทำร้ายใครสักคนหนึ่ง
...ตัวเราเองก็จะต้องเจ็บปวดไม่น้อย
เสียใจไม่น้อยไปกว่าใคร....ผู้นั้น

04/06/57

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

...ลองของ...

เมื่อคราวที่ฉันเรียนอยู่ชั้นม. 6 วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีจำได้ว่าพี่สาวฉันชวนไปปฏิบัติธรรมในวันเสาร์ที่จะถึงอีกสองวัน ที่วัดตำบลข้างเคียง แต่ก็ไม่ไกลจากบ้านนักเพื่อจะได้ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เข้าถึงพระธรรมมากขึ้น และฉันก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเหตุผลหลายๆ อย่างที่แม่และพี่สาวหยิบยกขึ้นมาพูดให้ฟังซึ่งฉันก็ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แต่พอเพื่อนๆฉันรู้เข้า ต่างก็อยากไปด้วย ฝากฉันกลับมาถามพี่สาวว่าขอไปด้อย และพี่สาวก็ตกลงให้ทุกคนขออนุญาตผู้ปกครองมาให้พร้อม 07.00 น ของเช้าวันเสาร์ ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านฉันโดยมีพี่สาวและเพื่อนอีกสองคนคอยดูแล

เมื่อไปถึงก็มีแม่ชีที่บวชอยู่ที่นั่น ออกมาต้อนรับและพาเราไปยังที่พักเพื่อเก็บข้าวของสัมภาระ และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ดูสุภาพขึ้นผ้าถุงสีขาวยาวกรอมเท้ากับเสื้อคอกลมแขนสี่ส่วนผ่าหน้า และเข็มขัดคาดเอวที่พอจะรัดไม่ให้ผ้าถุงหลุดลงมากองได้ด้วยเหตุจะต้องลุกต้องนั่งและทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากสวดมนต์นั่งสมาธิ
ที่พักของพวกเราคือศาลาใหญ่ ที่มีเสาเป็นสิบต้น ยกพื้นสูงขึ้นมาหน่อยแต่มีประตูหน้าต่างมิดชิด ที่ศาลานั้นแบ่งเป็นสองฝั่ง ซ้ายและขวา ตรงกลางเป็นทางเดินที่จุคนได้มากโขอยู่ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝน จึงไม่ค่อยมีใครมาปฏิบัติธรรมกันเท่าไหร่รวมๆ กันแล้วก็ได้ประมาณ 30 คน จึงแบ่งฝั่งพักข้างละ15 คน เมื่อมองนาฬิกาพี่สาวบอกให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวได้แล้ว เพราะต้องไปทำพิธีถือศีล 8 ที่กุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่อีกฝั่งกับกุฏิแม่ชี เมื่อทุกคนอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยก็เดินลงบันไดที่พัก

ช่วงที่เดินไปนั้น เพื่อนคนหนึ่งสังเกตเห็นว่า มีต้นชมพู่ต้นใหญ่อยู่หน้าที่พักของเราและเพื่อนอีกคนชื่อ นาก็พูดขึ้นมาอย่างนึกสนุกว่า...

“แหม! หากออกลูกมาทันตอนนี้นะเราจะเก็บกินให้อร่อยไปเลย ไม่รู้จะหวานหรือเปล่า”
ฉันได้ยินก็ไม่ค่อยสบายใจนัก ความรู้สึกแปลกๆ เพราะรู้สึกเกรงกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเจ้าที่เจ้าทางที่อยู่ในบริเวณวัดทุกคนไม่ควรจะพูดจาลบหลู่ ท้าทายหรือพูดหยาบคายขณะที่อยู่ ณ สถานที่นั้นแต่เพื่อนๆ หลายคนประมาท ล้วนมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น จึงนึกสนุกพูดจาหยอกเย้ากันไปเรื่อย ขึ้นมึงขึ้นกูกันด้วยความสนิทสนมไประหว่างทาง พี่สาวฉันร้องเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าพูดหยาบคายแต่เพื่อนๆ ฉันกลับทำหน้ารำคาญ จนพี่ฉันปิดปากสนิทฉันเองก็เลยเงียบเพราะไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

เมื่อมาถึงกุฏิท่านเจ้าอาวาส พี่และพวกฉันก็ขึ้นไปกราบพร้อมพานดอกไม้ธูปเทียนเสร็จพิธีตรงนั้น 17.40 น พวกเราก็ไปร่วมปฏิบัติธรรม เช่น  ชมวีดีโอเกี่ยวกับการปฏิบัติทางพุทธศาสนา นั่งสมาธิและดื่มน้ำปาณะที่รสชาติอร่อยมาก จวบจนกระทั่งเวลา 19.30 นพระอาจารณ์ที่เป็นวิทยากรก็นำพวกเราสวดมนต์ทำวัตรเย็นก่อนนอน เสร็จตอน 22.00 นแม่ชีพี่เลี้ยงก็พาพวกเรากลับที่พัก

ในระหว่างที่เดินกลับที่พัก เพื่อนๆ ของฉันก็ยังคงหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนานจนแม่ชีพี่เลี้ยงต้องหันมากล่าวเตือนว่า

“เคารพสถานที่บ้างนะ ไม่งั้นอาจจะเจอดี”
“แหมคุณแม่ มีด้วยหรือคะ ในเมื่อที่นี่เป็นเขตวัดวาอารามคุณพระย่อมคุ้มครองพวกหนูอยู่แล้วล่ะ”

“พิม”พูดโต้ตอบกับคุณแม่อย่างไม่เกรงกลัว และเห็นเป็นเรื่องสนุกขบขันคุณแม่ก็ได้แต่มองจนเดินมาถึงที่พัก จากนั้นคุณแม่ก็กำชับพี่สาวว่า เมื่อทุกคนจัดการธุระส่วนตัวเสร็จให้ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทและเรียบร้อยก่อนเข้านอน ห้ามให้ทุกคนส่งเสียงดังหรือหยอกล้อกันทั้งสั่งให้เข้านอนทันทีก่อน23.00 น

ตัวฉันนั้นรีบไปล้างหน้าแปรงฟันเข้าห้องน้ำอีกรอบก่อนรีบกลับมาเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอนแต่พวกเพื่อนๆของฉันกลับมาเปลี่ยนชุดนอนเสร็จก็ตั้งวงคุยกันกับชวนเล่นถอดไพ่กันสนุกก่อนจะมาเล่นผสมสิบโดยไม่มีเงินพนัน
พอเล่นกันไปสักพัก เพื่อน 5-6 คนต่างก็ส่งเสียงลุ้นไพ่ดังขึ้นเรื่อยๆฉันนอนพลิกตัวไปมา มองไปที่พี่สาวและเพื่อนบางคนหลับไปแล้วฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตอนนั้นเวลาประมาณตี 2 ตรง รู้สึกรำคาญเพื่อนขึ้นมาทุกทีก็เลยตวาดออกไปว่า

“เลิกเล่นกันสักทีได้ไหม เดี๋ยวคุณแม่ได้ยินจะซวยกันไปหมดเพราะพวกแกนี่ละ”
แต่พวกเพื่อนๆ ก็หาสนใจเสียงของฉันไม่ยังคงจับกลุ่มลุ้นกันต่ออย่างมันในอารมณ์
จนกระทั่ง...02.15 น

ปัง ปัง ปัง!
เสียงคนทุบประตูดังมากด้านนอก ฉันใจหายวาบ เพื่อนๆ ในวงไพ่ร้องกรี๊ดออกมาต่างคนต่างรีบทิ้งไพ่ กลัวจะเป็นคุณแม่ รีบวิ่งเข้าผ้าห่มมาคลุมโปง
นาทีนั้น “พี่แอน”เพื่อนของพี่สาวก็ลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปที่ประตูฉันมองอย่างคนเสียขวัญก่อนจะร้องตะโกนสุดเสียง

“พี่แอน ! อย่าเปิดประตูเด็ดขาดนะคะ”
พี่แอนหันมามองแล้วพยักหน้า แต่หันกลับไปส่งเสียงถามว่า...
“นั่นใครคะ ใช่คุณแม่หรือเปล่า”
“...........”

ไม่มีเสียงตอบ นอกจากความเงียบ พี่แอนจึงก้มลงสอดสายตาส่องทางด้านล่างใต้ประตูตรงนั้นมีช่องว่าง พี่แอนร้องบอกพวกเราว่าไม่มีใครเลย แต่ไม่ทันขาดคำ เสียงทุบประตูก็ดังแหวกอากาศเข้ามาอีก
ปัง ปัง ปัง ปัง...!
ก่อนที่จะมีอีกเสียงดังสอดแทรกแหวกอากาศมาหลังจากทุบประตูไปสักครู่
“พวก มึง ทำ ให้ กู นอน ไม่ หลับ”

มันเป็นเสียงของผู้หญิง ที่ฟังดูชัดเจน พี่แอนสะดุ้งตกใจหงายหลัง แล้วตะกายตัวลุกขึ้นดีดร่างผอมแห้งจนลอยก่อนจะหมุนตัวกลับมาทางที่นอนพิมร้องกรี๊ดออกมาแล้วรีบวิ่งมากอดฉัน ส่วนคนที่หลับไปแล้วก่อนหน้านั้นก็ต้องตื่นเพราะเสียงทุบประตูทั้งหมดลุกขึ้นนั่งส่งสายตาตื่นๆ กันเลิ่กลั่ก แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามอะไร

เสียงทุบประตูดังขึ้นตลอดคืนที่เรานอนแต่ดังบ้างหยุดบ้างเป็นพักๆ พวกเราทุกคนไม่มีใครหลับตาลงได้อีก ต่างนอนคลุมโปงหวาดผวากันจนแทบหมดสติหลายคนนอนร้องไห้ รวมทั้งตัวฉันด้วย พี่สาวชวนภาวนาสวดแผ่เมตตาให้ผู้หญิงคนนั้นเพื่อจะได้ไม่ทุบประตูหลอกหลอนพวกเราอีก

พอตีห้าครึ่ง เสียงทุบประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนลุกขึ้นนั่งพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดขอบตาเขียวคล้ำอย่างตื่นตระหนก แต่ดีนะเพราะเสียงที่ดังมาเป็นเสียงของคุณแม่ที่ปลุกให้พวกเราตื่นไปอาบน้ำเตรียมตัวทำวัตรเช้านั่นเองในตอนนั้นท้องฟ้ายังไม่สว่างดีนักไม่มีใครกล้าพูดอะไรหรือบอกกล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยสักคน ต่างคนต่างได้แต่มองหน้ากันไปมาเดินออกไปก็เกาะกลุ่มกันตลอด ไม่มีใครเล่นหยอกเย้าเหมือนเมื่อคืนอีก
จนได้เวลาต้องเดินทางกลับ ช่วงบ่าย พี่แอนก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟังคุณแม่ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะหันมาดุเพื่อนๆ ของฉัน

“เป็นไงละ เห็นไหม แม่เตือนพวกเธอแล้ว ไม่เคยฟังกันเลยพวกเธอเล่นไพ่ส่งเสียงดังกันแบบนั้นเท่ากับไปหลบหลู่เขา รู้ไหมเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้วหน้าศาลาที่พักนั้น มีผู้หญิงที่อกหักจากความรักเพราะคนรักของเขามีครอบครัวอยู่แล้วแต่ไม่บอก กลับบอกว่ายังโสดเธอทำผิดต่อลูกผู้หญิงด้วยกันจึงมาที่วัดเพื่อจะบวชชีที่นี่แต่ทางวัดไม่ยอมอนุญาตเพราะรู้ว่าเธอต้องการหนีทางโลกเท่านั้นไม่ได้ศรัทธาในศีลมากนัก เธอคนนั้นเสียใจผิดหวังซ้ำซ้อนจึงตัดสินใจมาผูกคอตายที่ต้นชมพู่หน้าศาลาที่พวกเธอพักกันนี่แหละ”

คุณแม่เล่ามาถึงตอนนี้ น้ำตาของฉันไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว สันหลังเย็นวาบด้วยความหวาดกลัว
“หลวงพ่อท่านบอกให้แม่เตือนพวกเธอแล้ว เพราะพระเณรที่นี่ต่างก็เจอกันมาแล้วพอตกกลางคืนหากใครเดินผ่านวัดหรือศาลาแห่งนี้ก็จะเห็นผู้หญิงมานั่งก้มหน้าร้องไห้ที่โคนต้นชมพู่เสมอ มายืน เดินร้องไห้ไปมาแถวนี้แต่แม่ไม่อยากเล่าให้ฟัง กลัวพวกเธอจะไม่มาปฏิบัติธรรมกันอีก ก็เลยปล่อยจนพวกเธอเจอดีกันเองนี่ละ”
พี่สาวฉันหันมองเพื่อนๆ ของฉันก่อนจะถามว่า

“เข็ดกันไหม”
ตอนนั้นพวกเพื่อนของฉันที่ร่วมชะตากรรมมาด้วยเมื่อคืนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า...
“น่ากลัว และเข็ดค่ะพี่..”
ตอบออกมาเท่านั้น ทุกคนต่างก็บีบตัวเองให้เล็กลงก่อนจะแถลบตัวเข้าเกาะกลุ่มกันอีกครั้ง..

ขอได้รับความขอบคุณ
จาก  พลอยตะวัน

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

~*กำลังใจไฟชีวิต*~


เพียรสร้างฝัน วันข้างหน้า อนาคต
นั่งกำหนด แนวทาง สร้างรากฐาน
ไม่อยากรอ พรหมลิขิต ผิดหลักการ
เหนื่อยร้าวราญ มามาก จนอยากลอง

ถือหางเสือ เรือชีวิต ตามคิดหวัง
เสริมพลัง หลายหลาก จากสมอง
ใช้สติ ใช้ปัญญา มาปกครอง
แล้วลอยล่อง นาวา ท้าคลื่นลม

จะเนิ่นนาน กาลใด ก็ไม่หวั่น
ฤทัยมั่น ก้าวย่าง สร้างให้สม
ถึงจุดหมาย เมื่อไร ใคร่ชื่นชม
แม้เคยตรม มาก่อน ค่อยผ่อนพราง

มินอนรอ วาสนา ให้มาถึง
มิต้องพึ่ง ใบบุญ เกื้อหนุนสร้าง
มิเคยท้อ ว่ากรรม จะนำทาง
มิเคยอ้าง กุศล ที่ตนทำ

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

ก้าวข้าม..ความจองจำ

*เมื่อวันเคลื่อนคืนผ่านพากาลเปลี่ยน
ทุกข์สุขเวียนป่วนใจจนไหวหวั่น
มีสุขเศร้าเคล้าระคนปะปนกัน
ปล่อยทุกวันผันไปไม่มัวคอย

*ลุกขึ้นยืนฝืนใจไม่ทดท้อ
ไม่ต้องรีต้องรอหรือท้อถอย
พาชีวิตลิขิตไปให้เลิศลอย
ไม่ใจน้อยจนทุกข์มากฝากรอยตรม

*มีชีวิตต้องอยู่อย่างรู้ค่า
ก่อนให้กาลเวลาช่วยสั่งสม
ประสบการณ์หลากหลายหมายนิยม
ใช้เพาะบ่มความคิดชีวิตงาม

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

***รักเอย***


รักเอย..ไหนใครบอกว่าเจ้าหวาน
ฤาแค่มาคอยผลาญใจให้ทุกข์เล่น
เดินดายเดียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าลำเค็ญ
ยากหลีกเร้นหลบตาพาใจลอย

มาดื่มด่ำสัมผัสกับคำหวาน
ที่เขาเรียกน้ำตาลว่าปานอ้อย
อยากร้อยรสบทกานท์ขานรอคอย
เพื่อแลกเปลี่ยนรูปรอยถ้อยวจี

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

ลมรักแว่ว....


หมอกดอกข้าวเคล้าลมพรมโชยพลิ้ว
ขจรปลิวขจายโปรยโรยกันเกลื่อน
พรายน้ำค้างพร่างพราวดั่งดาวเดือน
เกี่ยวสายรุ้งมาเยือนสองเพื่อนใจ

ลมหนาวล่องท่องฟ้ามาเพียงแผ่ว
เพลงรักแว่วแผ่วล้อมกล่อมฟ้าใส
เสียงใบไผ่เสียดสีที่แนวไพร
หวานอุ่นไอในรักตักที่นอน..

อยากเอนกายแนบซบไม่ให้ห่าง
อยู่กันอย่างภักดีมีแต่ก่อน
ถึงยากดีมีทุกข์สุขอาทร
จะไม่ย้อนคืนกลับไปลับตา

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เมื่อเราบอกรัก


เมื่อคุณได้เอ่ยปาก “บอกรัก” ใครไป
สิ่งที่คุณต้องทำต่อจากนั้นคือ “รับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง”
ด้วยการปฏิบัติทุกอย่างต่อคนที่คุณรัก ให้เหมือนคนรักกัน
เพื่อให้คำว่า “รัก” ของคุณมันมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ
ไม่ใช่แค่บอกเขาว่า “รัก”
แล้วคุณก็หายหน้าไปทำอย่างอื่น สนใจอย่างอื่น
อย่างนั้น… “คนรักกัน” เขาไม่ทำกันหรอก

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สูตรของการรักษา ความรัก ความผูกพัน


การรักษา ความรัก หายากไม่
หนึ่ง"จริงใจ" พูดอะไร จำให้มั่น
สอง"เงินทอง" ของแสลง ต้องแบ่งปัน
สาม"ให้เกียรติ  ยกย่องกัน" ฉันและเธอ

สี่"รักกัน เตือนกันได้" ต้องไม่ถือ
ห้านั้นคือ "อภัย" บ้าง หากพลั้งเผลอ
คิดถึงแต่ ส่วนดี ที่หาเจอ
หกสม่ำเสมอ ยุติธรรม ไม่ลำเอียง

เจ็ดยอมรับ กันและกัน ประสานจิต
ใครทำผิด อีกฝ่ายว่า ก็อย่าเถียง
แปดห่างกัน โทรไต่ถาม ฟังสำเนียง
เก้าอย่าเลี่ยง ทำหน้าที่ นี่สูตรเอย ฯ

คนน่ารัก

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์) 5

ความเดิมตอนที่แล้ว

เสียงไอ้ทองแค้นเคืองที่โดนถีบ แต่ก็ไม่น่ากลัวอะไรนักแม้สองคนนี้เป็นคู่หู่กันมามีทะเลาะกันบ้าง เป็นธรรมดา ประสาเด็ก
“เออ ทีมึงถีบกูล่ะ ไม่พูดสักคำนะพอโดนเข้าบ้างมึงโมโหเลยนะไอ้เปรต”ตี๋ย้อนให้บ้าง
“เฮ้ย เล่นไรกันวะ เดี๋ยวฉันเล่นด้วยคน”ฉันส่งเสียงไปก่อนเพื่อแยกพวกมันไว้ไม่งั้นเดี๋ยวหมดสนุก
“เย้ๆ พี่เมกูมาแล้ว ไอ้ทอง...”
หึ หึ
ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงมันแสดงท่าทางดีใจ
“พี่เมกูด้วย ไอ้หอก...”เอาล่ะสิ มันเริ่มกันอีกแล้ว
“พอๆๆ เลย” เสียงเจนเพื่อนรุ่นเดียวกับฉันร้องห้ามเสียก่อนแต่พวกมันก็ยังไปต่อแถวกระโดดถีบกันต่อ
ตูม...ตูม..
“โอ้ย....”



“ฮ่า ฮ่า กูจะบ้าก่ะไอ้พวกนี้  เมๆ ทางนี้”

เจนกับจุ๋มนั้นหัวเราะขำเจ้าพวกเหลือขอนี้ทั้งสองหันมากวักมือเรียกให้ฉันไปร่วมวง โดยมีผ้าถุงทำลูกโป่งติดตัวคนๆ ละลูกซึ่งไม่ห่างจากฝั่งนักการทำลูกโป่งแบบนั้นไม่ยาก ฉันตัดสินใจในนาทีนั้นว่า จะไม่เล่นกระโดดถีบกับเจ้าพวกนั้นแล้วและคว้าผ้าถุงมาจัดการสวมแบบกระโจงอกแต่ไม่ยอมถอดกางเกงชั้นใน 

เมื่อพร้อมแล้วก็ไปเตรียมตัวกระโดดพร้อมกับกางผ้าถุงออกเท่านั้นก็ได้ลูกโป่งสมใจแล้ว  คราวนี้ก็ใช้ขาตะกุยน้ำเพื่อให้ลูกโป่งลอยไปทางที่ทั้งสองอยู่ 

“อ้าว! พี่เมไม่เล่นกระโดดถีบแล้วเหรอ”ตี๋ยกมือลูบหน้าไล่เอาน้ำที่เกาะออก ถามดังๆ
“เออ ไม่เล่นล่ะ ไม่อยากรังแกเด็กโว้ยฮ่า ฮ่า”เจนตอบแทนฉันอีก

คลื่นจากน้ำที่เล่นกระโดดถีบกันคอยแต่จะลากให้ออกไปกลางลำคลองอยู่เรื่อยต้องใช้ขาคอยกระทุ้งน้ำพยุงให้อยู่กับที่ 

“เม แกรู้เรื่องลุงอรุณแล้วใช่มั๊ย? ”จุ๋มถาม
“อืม! รู้แล้ว ไอ้ตี๋บอกมันบอกว่าแกตายโหงเหรอจุ๋ม”
“ฮื่อใช่ น่าสงสารแกนะไม่น่าตายเลยคนใจดีหายาก  คนที่อยากให้ตาย ไม่ตาย คนที่ไม่อยากให้ตายท่านยมรีบมารับไปเร็วจังเลย”เจนบ่น

“ปากแกนะเจน เดี๋ยวเถอะคืนนี้ได้ต้อนรับท่านในฝันแน่ ดีไม่ดีจะมารับไปรับใช้ส่วนตัวอีกโลก”ฉันแหย่เจนไปอย่างงั้นแหล่ะไม่จริงจังนัก แต่ผลตอบกลับคืนเจนมันกลัวจริงๆ รีบกระทุ้งน้ำมาซ่ะชิดทีเดียว
“นี่แน่ะๆ เม ปากแกดีนัก”เมื่อเข้ามาถึงยกมือมาทุบไหล่ฉันผลคือลูกโป่งแฟ๊บทันที

“เอ้ย! แล้วกันโธ่เอ๋ยนังเจน ต้องไปทำใหม่เลย”พูดจบก็หมุนร่างกลับขึ้นฝั่งไปกระโดดทำลูกโป่งมาใหม่
“จุ๋ม แกว่าเขาจะตั้งศพที่ไหนเขาจะเอากลับมาโรงสีหรือเปล่า”
“น่าจะนะ เพราะลุงอรุณแกรักโรงสีนี้มาก”ฉันตอบไปตามที่รู้มา

เราเล่นน้ำกันอีกหน่อยก็รีบขึ้นเพราะฟ้ามืดแล้ว พอดีกับที่โรงสีมีเรือมาจอดสีห้าลำที่ท่า มีคนจำนวนหนึ่งทยอยขนของที่อยู่ด้านท้ายเรือขึ้นลำเลียงบนท่า ฉันกับเพื่อนจึงว่ายน้ำเข้าฝั่ง
“เอ้ยเจน นั่นเขานำศพกลับมาแล้วเหรอวะ”ฉันรีบถามน้ำเสียงร้อนรนนิดๆ
“ไม่น่านะสงสัยขนของมาเตรียมงานหรือเปล่า เรากลับกันเถอะ มืดแล้ว เดี๋ยวคงรู้หรอก”

“อืม...ไปสิ”
“พี่เม นั่นเขานำศพกลับมาแล้วเหรอพี่บรื่อ..”
ดูมันค่ะพี่น้องดูมันหลอกฉันกับเพื่อนที่ยังว่ายอยู่ในคลอง แล้วพวกมันยืนบนฝั่ง หากสลับกันป่านนี้พวกมันคงร้องไห้ไปแล้ว

“แกไอ้ตี๋ ไอ้เปรต อยากตายเหรอ? ”ฉันชี้หน้ามันมาจากคลองแต่พวกมันไม่สะเทือน กลับหัวเราะกันอย่างครึกครื้น พอเจนขึ้นฝั่งได้สามสี่คนมันรีบคว้าเสื้อผ้าวิ่งทั้งตัวล่อนจ้อนแบบนั้นแหล่ะกลับบ้านปล่อยให้ฉันอยู่กับเพื่อนเพียงสามคน 

“ไปเว้ยพวกเรา เดี๋ยวพี่เมกับพี่เจนพี่จุ๋มปากตะไกรขึ้นจากน้ำ จาพากับเจ็บตัวเปล่าๆ เปลี้ยๆ  กูยังไม่อยากตายโว้ย”

******************
 โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง


~*ยัง..คงมั่น*~



/ฤดูกาลผ่านผันวันคืนเปลี่ยน
หากเธอยังแวะเวียนเข้ามาหา
ปฏิทินจะเปลี่ยนเดือนเปลี่ยนเวลา
จะกี่ปีก็มีค่าแม้ว่าไกล

/อยากเห็นเธอนั้นมีแต่ความสุข
หากเธอทุกข์ก็อยากทุกข์แทนได้
คงเพราะฉันรักเธอมากเกินไป
จึงมีแต่ห่วงใยเกินรำพรรณ

แพรอักษร 
12 กุมภาพันธ์ 57

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เพียงเธอ...






/เธอยังรักยังห่วงฉันหรือเปล่า?
ยังอยากบอกอยากเล่าแบบเก่าไหม
หรือเธอนั้นเปลี่ยนแปลงแล้วหัวใจ
ลืมสัญญาเคยให้เมื่อวันวาน

/เคยคิดย้อนตอนบอกรักหรือเปล่า?
ที่จะเฝ้าดูแลแผ่ความหวาน
จะประคองดวงใจให้เนิ่นนาน
ให้เราผ่านหวานขมอย่างกลมกลืน

/ฉันขอแค่ดูแลเทคแคร์บ้าง
ในระหว่างชีวิตเราแสนชื่น
ชดเชยความระทมที่ข่มขืน
ตราบนี้ขอให้รื่นทุกคืนวัน

/ขอดวงดาวพราวแสงทุกแหล่งหล้า
คอยปลอบเดือนดาราพาใจฝัน
ให้เหมือนอยู่เคียงข้างดาวก่ะจันทร์
ทุกคืนค่ำพบกันอย่าผันแปร

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

~*สวัสดีวันจันทร์*~


/ต้อนรับสัปดาห์อย่าสันโดษ
บำเพ็ญประโยชน์ให้ทุกอย่าง
อย่าประหยัดปัญญาจงหาทาง
เดินไปสู่ความสว่าง..อย่างเสรี

/เพราะดวงแดดื่มด่ำธรรมชาติ
เราจะไม่เป็นทาสเทคโนโลยี่
ไม่สนใจใครทำกรรมวจี
สงบคำไม่พาทีกับคนพาลฯ

แพรอักษร

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์) 4



“เออ เมื่อเจอแล้วก็จัดการเข้า จะได้ไปอาบน้ำกัน  เอ็งได้ยินอะไรไหมว่ะ?”
 “โอ้ย! พี่เมจะพูดมาทำไมนี่ เหวอ...”
แซรก....
อย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อร่างของไอ้ตี๋ทิ้งกล่องไม้ขีดไปทาง ส่วนตัวมันก็กระโจนใส่ฉันอย่างเร็วและแรง จนเป็นเหตุให้ฉันเอนไปข้างหลังหัวกระแทกพื้นอย่างแรง
โป๊ก...
“เฮ้ย! เป็นอะไรไอ้ตี๋ ไอ้บ้า เอ็งเป็นอะไรว่ะอู๊ย...หัวโนเปล่านี่ !”ฉันเอามือคลำหัวด้านหลังช่วงท้ายทอยปากก็บ่นกระปอดกระแปด
“แล้วพี่พูดขึ้นมาทำไมล่ะ จะให้ฉันได้ยินอะไรล่ะพูดอยู่คนเดียว ฉันกลัวเป็นนะพี่”ไอ้ตี๋เถียงฉอดๆ
“ถอยไปหน่อย”ตวาดเสียงไม่ดังนักเมื่อฉันผลักมันให้ห่างเพื่อยันตัวลุกขึ้น  จากที่ล้มจนเอนไปด้านหลังทั้งที่นั่งพับขาจึงเจ็บเล็กน้อย
“โฮ! พี่ ที่หลังพูดให้หมดสิ ไม่งั้นละนะ ฉันคิดไปสารพัดทีเดียว เฮ้อ! ต้องมานั่งเก็บก้านไม้ขีดอีก”มันบ่นเป็นหมีกินผึ้งทีเดียว
“ใครจะไปคิดล่ะ ว่าแกน่ะมันพวกปรุงเก่งฉันถามแบบนั้นเพราะว่า ได้ยินเสียงเจนกับพวกไอ้เทืองมันแว่วๆ ”หล่อนบอกให้ฟัง “แกเอามือคลำแล้วกวาดๆมารวมกันตรงหน้าแกน่ะ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จพี่มาเก็บใส่กล่องเอง ตอนนี้หยิบมาสองก้านแล้วจุดใหม่”
ฉันกำกับเจ้าตี๋อยู่ใกล้ๆ เพราะไม่อยากให้มันไปก่อน
ฟู่..
“อ่ะ ติดแล้วพี่เม”มันร้องบอกและจ่อก้านไม้ขีดไปที่ตะเกียง
“โธ่ !พี่เม อย่าหายใจแรงสิ ดับเลยเห็นไหม”มันบ่นอย่างคนหัวเสียในใจฉันนั้นแปลบปล๊าบทีเดียว อยากจะบอกมันใจแทบขาด แต่ก็พูดไม่ได้ ขืนบอกว่าไม่ได้หายใจนั่งกลั้นอยู่ในระหว่างที่มันจุดติด รับรอง มันคงเผ่นลงไปจากบ้านฉันแน่ๆ
“เออๆ ขอโทษที เอาใหม่ๆเดี๋ยวพี่กลั้นหายใจแล้วเอามืออุดปากไว้ด้วย จุดเลย”
มันหยิบมาใหม่ คราวนี้มันไม่เลือก(เพราะไม่มีให้เลือก)และก็ได้ผลฉันรีบกลั้นหายใจ เอามืออุดปากทันที แต่...
“อุ๊บ!...”
ดูมันทำ
“แล้วแกทำไมหายใจแรงนักวะไอ้ตี๋ไอ้...”ฉันว่าให้มันบ้าง
“ฮิ ฮิ พี่ล่ะก็ อย่าบ่นน่า ก็ฉันกำลังดีใจนี่เลยเผลอถอนหายใจจนลืมแขม่ว เอาใหม่ๆ เดี๋ยวพอติดนะพี่ช่วยฉันเอามือป้องไปจ่อตะเกียงนะ และที่สำคัญ”มันหยุดไปนิดหนึ่ง ฉันรู้ว่ามันจ้องหน้าฉัน
“อะไรวะ”ฉันถามขจัดความสงสัย
“ห้ามพี่หายใจ ช่วยๆกลั้นเอาไว้หน่อยระหว่างจุดติดและจ่อตะเกียง”มันบอกเอาไว้เลยแบบนั้น
แหม! ได้สิ เรื่องกลั้นหายใจน่ะงานถนัด เพราะทำบ่อยเวลาเล่นแข่งดำน้ำอึดกัน
ฟู่ ฟู่ มันลงมือกรีดก้านไม้ขีดกับกั๊กอีกครั้ง คราวนี้พอเห็นแสงไฟที่ฟู่ขึ้นฉันก็เริ่มกลั้นหายใจแล้วช่วยเอามือป้องอย่างสุดฤทธิ์  กลัวเหมือนกันกลัวเจ้าเด็กปัญหามากจะหายใจออกมาแรงๆ
ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เมื่อจ่อตะเกียงได้ ฉันรีบเอาฝาแก้วครอบทันที
“โอ้ย ติดเสียที กว่าจะติดนะ เล่นซ่ะเหงื่อโทรมเชียวเป็นแบบนี้ทุกวันหรือเปล่าพี่เม”
“ไม่หรอก เฉพาะวันนี้แหละ”อยากบอกให้มากกว่านั้นแต่ไม่เอาดีกว่า เพราะยังเจ็บชายโครงไม่หาย ตอนที่มันโถมใส่มาทั้งตัวเมื่อสักครู่

“ไปกันหรือยังล่ะฉันอยากกระโดดถีบไอ้เทืองก่ะไอ้จ้อนเต็มทีแล้ว เจ็บใจนักเมื่อวานนี้มันเล่นฉันซ่ะน่วมเลย พี่ไม่อยู่”
“อื่อ เราไปกันเถอะ”ฉันลุกผละไปด้านข้างคว้าขันสบู่กับผ้าถุงเดินนำมันออกไปใจก็คิดไปถึงคนที่เพิ่งตาย เมื่อไม่กี่ชั่วโมงไปด้วย
“พี่นอนกับใครเหรอตอนกลางคืน”มันชวนคุย
“บางคืนก็กับแม่ และเวลาฝันร้าย นอกนั้นก็กับพี่สาวเอ็งถามทำไมวะ หรือแกจะมาเข้าหาฉัน”ฉันใช้มือผลักหัวมันเบาๆ
“ฮ่า ฮ่า รอฉันโตก่อนนะพี่” มันพูดแล้วหัวเราะเสียงดังก่อนจะวิ่งนำหน้าฉันไป      

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์) 3


“ตี๋เงียบทำไมวะ พี่ถามว่าพ่อกับแม่แกไปไหน”

รีบร้องตะโกนหาเพื่อนก่อนหากเป็นวันอื่น ป่านนี้ฉันคงยังไม่กลับมาก่อนหรอกคงอยู่เดินรั้งท้ายแม่กับพี่ดีกว่า

“อ้อแม่กับพ่อไปส่งติ่งบ้านปู่น่ะสิ เห็นว่าเย็นๆจะกลับ ป่านนี้แล้วยังไม่มา ไม่ห่วงฉันเลย รู้อย่างนี้ฉันลาครูไปด้วยก็ดี”

เสียงไอ้ตี๋บ่นกระปอดกระแปดอยู่นอกชานเท่านี้ฉันก็อุ่นใจแล้ว ฉันเริ่มตั้งสมาธิใหม่ หยิบกั๊กไม้ขีดขึ้นมาเงยหน้าหลับตาแล้วถอนหายใจ ตรงหัวเตียงแม่มีหิ้งพระ รูปคุณปู่และบรรพบุรุษเพียบยาวเป็นแถว แต่ละภาพเหมือนจะจ้องมาที่ฉัน ใจที่สงบเริ่มเต้นเป็นกลองรัวอีกครั้งจนแทบอยากจะร้องไห้  เวลาแม่ใช้ให้ไปหยิบเซี่ยนหมากแถวนั้นสีหน้าฉันจะยุ่งด้วยความตื่นตะหนก พอแม่เห็นก็จะปลอบว่า

“จะกลัวอะไรนักหนานั่นน่ะไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ปู่กับย่าและพ่อเมทั้งนั้น ทุกคนเค้ารักเมจะตายไป เร็วๆไปหยิบเชี่ยนหมาก”สรุปจบไล่ไปหยิบ สำหรับฉัน บริเวณนี้น่ากลัวมาก

“เพราะรักหรือแม่ทุกคนจึงมาให้เห็นบ่อยๆ แบบนั้นน่ะ”ฉันยังเดินบ่นไป และคิดว่าน่าจะได้ยินคนเดียวแต่เปล่าหรอก พี่สาวฉันนั้นหูผึ่งเลย (ฉันก็เสือกดีดันหันไปเห็นดวงตาเบิกโพลงแบบคนอยากรู้ของพี่เข้า เดี๋ยวมีการซักเกิดขึ้นแน่)ในตอนนั้นฉันคิด

หึย..ไม่เอาไม่คิด รีบสลัดหัวแรงๆ  “นะโม ตัสสะภะคะวะโต...” ฉันนั่งท่องในใจจนสงบ

คราวนี้ฉันตั้งใจกรีดและลากช้าๆได้ผล มันติดแล้ว พยายามบังคับมือไม่ให้สั่น ค่อยๆจ่อไปที่ไส้

วูบ...

“โว้ย ! อะไรนี่ลมมาจากไหนวะ”ฉันเผลอร้องออกไปดังๆ

“อะไรหรือพี่ลมอะไรที่ไหน  หากมีลมก็ดีน่ะสิฉันร้อนจะตาย อยากไปโดดน้ำเต็มที แล้วพี่น่ะ ได้หรือยังผ้าถุงก่ะสบู่น่ะช้าจริง...พี่สาวเอาขันสบู่ไปซ่อนรึไง..”

ความไร้เดียงสาของไอ้ตี๋มันก็ดีกับตัวมันแต่สำหรับฉันแล้ว แทบอยากจะวิ่งไปจากตรงนี้เต็มที

“ว่าไงพี่เม  ตกลงหาเจอหรือยังล่ะ ขันสบู่ก่ะผ้าถุงน่ะเด๋วก็มืดอดเล่นน้ำนานๆ หรอก”ได้ยินเสียงมันบ่นกระปอดกระแปดข้างนอกชานชักหมั่นไส้มันเหมือนกัน นึกๆ ฉันก็อยากเล่าให้มันฟังจังเลยดีไม่ดีมันวิ่งขึ้นมาหาฉันแล้วนั่งบนตักในตอนนี้ ฉันคงจับมันเหวี่ยงออกไปแน่ๆหรือไม่ มันอาจจะทิ้งฉันไว้แล้ววิ่งไปที่อื่น แล้วฉันจะทำอย่างไรดีล่ะ

นาทีนี้ฉันพยายามข่มจิตใจอย่างหนัก

“แล้วพี่ทำไรน่ะไหนบอกไปจุดตะเกียงกับหยิบผ้าถุงขันสบู่ ใครเอาบังอาจเอาขันสบู่พี่ไปซ่อนเหรอ? ”ดูปากมันนะแค่พูดน่ะ มันยังลากเอาไอ้ที่เรากลัวใส่ให้ได้ยินอีก

“เออๆพี่ได้สบู่กับผ้าถุงแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังปล้ำกับไม่ขีดไฟกั๊กนี้อยู่ สงสัยว่าไม่ขีดเปียกหรือน้ำมันก๊าดผสมน้ำป่าวว่ะจุดไม่ติดสักที”

ด้วยความกลัวฉันเฉพูดไปทางอื่น และอยากพาสมองคิดไปทางนั้นแทนมากกว่าพะวงกับเสากลางบ้าน
“มีกั๊กเดียวหรือไงไม้ขีดบ้านพี่น่ะ  บ้านฉันนะแม่ตั้งไว้ตั้งสามจุดพร้อมตะเกียง  พอมืดก็ไม่ต้องหา”

“เออแม่พี่ก็ตั้งแบบนั้น ไปไหนมาแม้มืดมาก รู้จุดว่าต้องไปตรงไหน”รีบบอกมันไป

เงียบ..

“โห ! พี่เมอยู่ตรงไหนน่ะ ทำไมมันมืดแบบนี้” ได้ยินแค่นั้น ใจคอก็ชื้นขึ้นมาเป็นกองหล่อนลืมความกลัว

“เออๆแกมาก็ดีแล้ว เดี๋ยวพี่ให้แกลองจุดบ้างดีกว่า”ลุกขึ้นไปจับมือเพื่อนรุ่น้องมานั่งตรงเสาที่มีตะเกียงวางอยู่

“แกนั่งเฉยๆ อย่าป้ายมือเปะปะล่ะ เดี๋ยวตะเกียงล้มน้ำมันหกละหม่องเท่งแน่พี่ขี้เกียจเติมน้ำมันตอนมืดๆ”

“แหมพี่เมนี่เห็นฉันซุ่มซ่ามขนาดนั้นเลยเหรอแต่นะ น้อยที่ไหนกัน”พูดจบมันหัวเราะร่วน

“เอออย่าพูดมาก อ่ะ แกลองสิ”เบื่อฟังมัน ฉันยื่นกล่องไม้ขีดให้ เฮ้อ !เวรกรรมจริงๆ แต่ก็ขำคำพูดมันเหมือนกัน ตี๋เป็นเด็กอัทยาศัยดี มีน้ำใจเยอะมันไม่ค่อยโกรธใครหรอก หากใครโดนมันโกรธนี่แปลว่า คนๆ นั้นแย่มาก

“เอาล่ะตาเอ็งลองล่ะ ดูซิจะติดหรือเปล่า”มือเล็กที่เห็นลางๆ นั้นดันกล่องให้เลื่อนออก

แกร๊ก แกร๊ก..

โอ้ !มันเลือกก้านด้วย

“ตี๋นี่แกเลือกก้านไม้ขีดด้วยเหรอ”ฉันถามมันขำๆ

“เลือกสิพี่แล้วฉันก็ภาวนาด้วยนะ ว่าอย่าให้เจอไม้ขีดอันไม่ดี ขอให้จุดทีเดียวติดเลย”มันบอกเคล็ด

ช่างคิดนัก...

*******************

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์) 2


“หยู๊ดดดดดดดดด อย่าคิดอกุศลพี่เมฉันยังมีสติดีอยู่” เออ เอาก่ะมันสิ ฉันอ้าปากเรียกชื่อมันยังไม่ได้เลยมันรีบห้ามอุตลุดล่ะ

“นี่ๆ ไอ้ตี๋ จะมากไปแร่ะ แกแดดนักนี่แน่ะ”ฉันใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากมันแรงๆ จนหน้ามันหงาย

“5555 พี่เมล่ะก้อ ฉันล้อเล่น เออพี่เม เอาล่ะนะที่นี้ ฉันจะเริ่มบอกล่ะนะ ตั้งใจฟังดีๆ ล่ะ”มันหันซ้ายหันขวา

“อืม..ว่ามา ข้ากำลังฟัง”

“พี่รู้ไหม ลุงอรุณกำลังข้ามฟากไปอีกฝั่งแต่โดนรถสิบล้อชน หัวเละเลย ตายคาที่...”มันกระซิบกระซาบฟังไม่ได้สรรพ

"ไอ้ตี๋ อย่าเสือกกระซิบเลย พูดดังๆ ฉันไม่ได้ยิน นอกจากลมหายใจเอ็งนี่น่ะ"

“พี่รู้ไหม ลุงอรุณกำลังข้ามฟากไปอีกฝั่งแต่โดนรถสิบล้อชน หัวเละเลย ตายคาที่...”หัวคิ้วฉันย่นเข้าหากันอย่างไม่อยากเชื่อ

“ห๊า..ใครบอกเอ็ง ไอ้ตี๋...อย่าพูดชุ่ยๆนะโว๊ยไม่ใช่เรื่องจะเอามาล้อเล่นได้ มันลางไม่ดี ไอ้นี่เดี๋ยวโดน เดี๋ยว”ปากฉันก็พูดไปงั้นแหละเอาเข้าจริงๆ แค่เห็นหน้าเจี่ยมเจี้ยมนั้นแล้วก็ทำไม่ลงหรอก

“พี่เม..แต่ลุงแกโดนรถชนหัวเละนะเห็นพี่แววบอกว่า “แกตายโหง” คนตายโหงส่วนมากจะกลับบ้านทันทีนะพี่ป้าเจียมน่ะเป็นลมยังไม่ฟื้นเลย นี่ก็จะหกโมงแล้ว แล้วพี่ดูตะวันสิ สีมันเหมือนเลือดเชียว”มันหันซ้ายแลขวาเลิ่กลั่กจับแขนฉันแน่น“เขาเรียกแดดผีตากผ้าอ้อมนร้า...”พูดแค่นั้นมันหันหลังอิงฉันไว้แล้วเอามือฉันไปพาดบ่าเล็กๆแต่ยึดไว้แน่น

กา กา...

เสียงอีการ้องแหวกอากาศมาอย่างน่าสะพรึงทีเดียว

ไอ้ตี๋เล่าไปพลางชี้มือชี้ไม้ให้ฉันมองแดดที่มันบอกว่าสีแดงๆส้มๆ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ผีตากผ้าอ้อม”ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

ฉันมองไปรอบๆ ก็จริงตามที่มันบอกแหละบรรยากาศตอนนี้วังเวงจริงๆ ยิ่งมีการตายเกิดขึ้นยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงให้เด็กในแถบนั้นมากขึ้น

ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างกลับจากงาน โรงสีเงียบเหมือนว่าร้างคนอยู่มานานแรมเดือน ทั้งๆ ที่เมื่อเช้ายังแผดเสียงดังคับทุ่งอยู่เลย ฉันเห็นและได้ยินคนผ่านไปมาพูดกันปากต่อปากว่า จะไปดูที่เกิดเหตุหน่อยใครจะไปให้มาเจอกันที่ท่าเรือบ้านพี่ชายฉัน พวกเขาคงจะเหมากันไปนั่นแหล่ะ คาดว่านะ

โอ้ย ! ป่านนี้แล้วแม่กับพี่สาวทำไมเดินช้าจังเลยนะฉันมองไอ้ตี๋ ใจก็คิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่อยากคิดถึงตอนขึ้นไปเอาผ้าถุงเลย เหตุเพราะต้องผ่านเสาที่กลางบ้านตรงหัวเตียงของแม่เสาต้นนั้นมักจะมีน้ำมันไหลออกมาตอนกลางคืนตลอดเวลา  หากแม่หรือพี่สาวไม่อยู่ฉันจะไม่อยู่บนบ้านเด็ดขาด

“ตี๋ แกอย่าเพิ่งไปไหนนะพี่ขึ้นไปเอาผ้าถุงกับขันสบู่ก่อน เดี๋ยวเราไปอาบน้ำกัน รอพี่แป็บนะ”ฉันสัมทับมันด้วยน้ำเสียงแข็งขันต้องไว้เชิงหน่อย เดี๋ยวได้ไปโพทนาทั่วหมู่บ้าน อายเขาตายเลยเจ้านี่ยิ่งลำโพงแตกอยู่ด้วย

“ได้สิพี่ฉันก็ยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้หรอก”มันยิ้มเจื่อนๆ ฉันก็ไม่เซ้าซี้รีบวิ่งขึ้นข้างบนก่อน

บนบ้านฉันเมื่อโพล้เพล้หน่อย ก็มืดสนิทยิ่งหน้าต่างไม่ได้เปิดนะ อย่าให้พูดเลย มันวังเวง...
มือที่หยิบกล่องกั๊กไม้ขีดพยายามจะไม่ให้สั่นเพราะหากสั่นเวลาเปิดมันจะแย่งกันวิ่งออกมากระจายบนพื้นบ้านยิ่งชักช้าไปใหญ่แถมเวลาขีดไฟลุกจ่อไปที่ตะเกียงมันดับทุกครั้ง

“ตี๋ แม่กับพ่อแกไปไหนล่ะ”

ฉันร้องตะโกนถามเพื่อคุยกับมันดับความกลัวไปในตัว เมื่อก้มลงนั่งใกล้ๆ เสา มือค่อยๆเอื้อมไปจับตะเกียงที่วางข้างๆ เพื่อจัดการจุดให้ความสว่างช่วยคลายความกลัวลง อย่าว่าแต่นั่งเลยแค่ผ่านไป-มาเฉยๆ ฉันก็ขนลุกตลอดเวลาได้ มันแปลกๆ เหมือนมีใครแอบมองอย่างนั้นแหละ

วูบ...

ลม..? มันมาทางไหน?ขีดพอติดต่อไส้ที่ดันมันขึ้นมาจนยาวแล้ว ยังไม่ติด

ให้ตายเหอะ แม่เจ้าประคุณรุนช่องทำไมมันเหมือนจะแกล้งกันอย่างนี้....รีบยกมือกางตบหน้าอกเบาๆสงบอารมณ์ที่เริ่มฟุ้งซ่าน

“ไอ้ตี๋..”

ปากก็ร้องเรียกลูกน้องคนสนิทเติมขวัญกำลังใจไว้...เออหนอ นังเม...

*******************
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

เหมือนฝัน (วันวัยเยาว์)


  

เมื่อสิบปีก่อน บ้านฉันอยู่ติดกับโรงสี รอบๆ จะรายล้อมไปด้วยผลหมากรากไม้นาๆ ชนิด หากเราเดินเข้าไป จะเจอกับลานตากข้าวถัดจากสวนผลไม้จะมีประตูไม้ใหญ่เปิดรอรับลูกค้าทางด้านนี้ ส่วนด้านหน้าจะเป็นการเดินทางโดยเรือติดเครื่องยนต์หางยาวที่วิ่งในคลองน้ำก็ไหลเชี่ยวทีเดียว และพี่ชายของฉันก็เป็นหนึ่งคนขับเรือเหมือนกันเมื่อเสร็จจากการทำนา

สมัยนั้นหากบ้านไหนมีรถยนต์นี่ถือได้ว่า บ้านนั้นรวย เป็นคนมีอันจะกิน(ว่ากันนะ) ถนนก็เป็นดินเหนียวแน่นแข็งโป๊กแม้น้ำจะท่วมก็ไม่ล่วนเละ จะไปมาอาศัยเรือกันส่วนใหญ่ นอกนั้นก็มอเตอร์ไซน์ที่พอจะเลาะตามริมคันนาไปได้แต่ส่วนใหญ่จะไว้สำหรับนักเรียนที่อยู่ไกลๆ ถีบจักรยานมาเรียนมากกว่า

แต่ก่อนนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้กันหรอก ชาวบ้านส่วนมากใช้ตะเกียงเจ้าพายุ บ้างก็เป็นตะเกียงที่ใส่น้ำมันก๊าด และบ้านฉันก็ใช้แบบนี้

  โรงสีจะใช้ไฟฟ้าเพราะเขาปั่นไฟเองมีทีวีดูอยู่หลังเดียวในละแวกนั้น ด้านในโรงสีปูพื้นด้วยปูนซีเมนต์ลาดยาง ด้านข้างๆก็เป็นเครื่องสี ด้านซ้ายก็จะเป็นกระสอบข้าวสารที่สีเสร็จแล้วรอขนไปในเมืองตลอดแถวซ้ายนั้นจะเรียงข้าวสารยาวจากด้านหลังไปถึงลานท่าน้ำเว้นช่องตรงกลางไว้เดินไปมา ด้านหลังสุดแถบซ้ายจะติดกับห้องครัวเจ้าของโรงสีที่เดินเข้าออกคอยสอดส่องลูกน้องไปด้วย

ส่วนลานตากข้าวด้านนอกเมื่อเปิดออกไปด้านซ้ายจะเป็นโครงสร้างมีแต่เสา ไม่กั้น เปิดโล่งเลย มุงแต่สังกะสีเอาไว้กันแดดฝนและเก็บข้าวเปลือกที่ตากรอสี

รอบๆบริเวณลานกว้างเป็นต้นกล้วยปลูกช่วงกลางๆสองแถวยาวเถิบไปด้านขวาจะเป็นเล้าไก่ โอ่งกลมสีส้มไว้รองน้ำฝนให้คนงานกินถัดไปอีกสามสี่ก้าวเป็นคูน้ำเล็กๆกั้นด้วยกำแพงปูนไม่สูงนักกันคลื่นซัดเข้ามาลากดินลงคลอง ในคูนั้นยังปลูกผักบุ้ง

ถัดจากโอ่งไปอีก จะเป็นต้นชมพู่ที่ให้ลูกดกมากสี่ห้าต้นและตอนนี้ก็เริ่มมีดอกแล้ว ถัดมาอีกเป็นบ้านพักคนงานที่ไร้ที่อยู่(คนต่างถิ่น)ยกครอบครัวมาอยู่ที่นี่เลยส่วนด้านนอกติดกับรั้วลวดหนามเลยจะเป็นต้นละมุดที่ขุดโคกดินสูงขึ้นล้อมรอบอีกชั้น

และตรงโครงสร้างที่เก็บข้าวเปลือกรอนั้นด้านบนก็จะตีเป็นท่อยาวไปทางด้านหลังสุดเพื่อพ่นแกลบออกไปกองรวมที่นั่นครั้นพอสูงมากๆ เข้าเถ้าแก่ก็ให้คนงานจุดไฟเผาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการดับควันก็กระจายไปทั่วบริเวณเกาะตามกิ่งไม้ใบหญ้าที่ปลูกรายล้อมไม่เว้นแม้แต่บ้านของเพื่อนบ้าน รวมทั้งบ้านฉันด้วย

ลุงอรุณเจ้าของโรงสีแกเป็นคนใจดีเป็นที่รักของคนแถวนั้น นานๆ ครั้งแกจะกลับจากในเมืองมาพักบ้าน มีแต่เมียของแกอยู่และจะเข้าเมืองในวันเสาร์ตอนเย็นลุงอรุณกับลูกชายจะอยู่ในเมืองมากกว่า ลูกเรียน ส่วนสามีแกติดต่อค้าขาย

วันนั้นฉันกลับจากโรงเรียนก็ออกไปช่วยแม่ที่ทุ่งนาไกลจากบ้าน และขี่ม้ากลับบ้านเพราะแม่จะพามันไปด้วยเสมอกันไม่ให้ฉันไปเล่นกับเพื่อนๆด้วยห่วงม้ามากกว่าจะห่วงเล่นก่ะเพื่อนๆ

ตะวันเริ่มโพล้เพล้ สีเทาพาฉันควบกลับบ้านระหว่างทางมีอีกาบินตามมาด้วยแค่นั้นไม่พอ มันเสือกร้องตามมานี่สิ กลัวก็กลัว ห่วงแม่ก็ห่วงแต่คิดอีกทีแม่มีเจ้าหมีกับพี่สาวอยู่ด้วย ไม่เป็นไร สีเทาพาฉันกลับถึงบ้านปลอดภัยแม้จะขนลุกบ้างบางครั้ง

“พี่เม พี่เม โอ้ยยย ! ทำไมมันทรมานอย่างนี้”
นั่นไง ไอ้ตี๋เริ่มบ่นมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่อัดอั้นกับเรื่องอะไรที่มันรู้มา
“ทำไม เอ็งเป็นอะไรนักหนาห๊าไอ้ตี๋เห็นจะตายทุกทีสิน่า วันนี้มีอะไร รีบรายงานมาเลย เร็ว ข้าร้อนอยากโดดน้ำจะแย่ล่ะ”ฉันแกล้งขึ้นเสียงก่ะมันไปงั้นแหล่ะ หมั่นไส้น่ะ

“พี่เมพี่เอามือมานี่”ไม่พูดเปล่าหรอกนะ มันยื่นมือมันมาคว้ามือฉันไปแตะที่อกน้อยๆด้วย  “พี่รู้สึกไหม หัวใจฉันเต้นแรงมาก หน้าฉันก็ร้อนๆ ด้วย “

“ไอ้....”

******************
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background