Translate

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ใกล้ตาไกลตีน





ไกลตาไกลตีน

/อยู่กันไกลเกินเห็นเป็นไฉน 
เธอเป็นสุขดีหรือไม่? ในวันห่าง
 มีเรื่องทุกข์หรือเปล่าระหว่างทาง
 เคยสงฟางนั่งโปรยยิ้มแสนอิ่มใจ

/มาเถิดหนาวันนี้มีเรื่องเล่า 
เป็นเรื่องเก่าเนานานสะท้านไหว 
เหนือทิวเขาไม้เบียดเหยียดกลางไพร
 ริมลำธารน้ำใสไล้หมู่ปลา

/มีหมู่มดเฝ้าไข่ในรังนอน
 ตามไม้ขอนน้ำค้างรื้นเต็มผืนหญ้า
 จึงฝากเพลงพลิ้วหวานผ่านลมพา 
หวังเห่กล่อมเพื่อนยาอยู่อาจินต์..

ห่มเมฆขาวหนาวกายสุดปลายฟ้า 
ท่ามภูผาผวาจิตคิดถึงถิ่น 
ใจสะทก อกสะท้อนวอนชีวิน
 ไยแผ่นดินแม่ต้องห่างต้องร้างลา

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คืนหัวใจ ประพันธ์โดย รุจิเรข อภิรมย์


แดดยามสายเริ่มร้อนจัด ภายใต้ร่มเงามะพร้าวเตี้ย ๆ ต้นหนึ่งริมถนนสายใหม่ซึ่งตัดตรงไปยังชายทะเลบางตาวา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีนั้น กว้างพอที่จะขจัดความร้อนลงได้บ้าง หนุ่มสาวสองคนได้มาพบกันที่นี่ ฝ่ายชายดึงภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย แล้วสลักลงไปหลังภาพด้วยประโยคที่บอกถึงอารมณ์ความฝันของเจ้าของลงไป

"สายจ๋า, ขณะนี้คุณอยู่ที่ไหน สัญชัยกำลังเพรียกหาคุณอยู่"
เขาส่งภาพนั้นให้เธอ สีหน้าหญิงสาวงวยงง รับภาพนั้นมาดูด้านหน้าแล้วพลิกดูด้านหลัง ดวงตาเบิกกว้าง ถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
"ตายจริง สัญชัย, ทำไมจึงเขียนอย่างนี้เล่าคะ ?"

เขาหัวเราะบ้าง แต่น้ำเสียงปร่า-ขวยเขิน จ้องใบหน้าสายทิพย์นิ่งนานเหมือนจะพิมพ์ภาพนั้นไว้ในดวงใจ
"เพื่อความสัมพันธ์อันแนบแน่นของเรา และเพื่อการจาก ที่อาจยาวนานกว่าเราจะได้มาพบกันอีก หวังว่าข้อความข้างหลังภาพนี้พอจะเตือนใจสายได้บ้าง"

สัญญาดั่งเสียงลม
ใบไม้สีน้ำตาลถูกลมพัดเป่าปลิดขั้วจากต้นซึ่งขึ้นอยู่บริเวณนั้นให้ปลิวร่วงลง มาใกล้ ๆ กับที่คนทั้งสองยืนอยู่ สัญชัยก้มลงมองใบไม้ด้วยหัวใจสั่นไหว ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงล้าแรง
"ผมลาราชการมาเพื่อพักผ่อน รักษาตัว อีกสอง-สามวันก็จะครบกำหนด ต้องรีบกลับกรุงเทพ งานที่นั่นกำลังรออยู่"

ใบหน้าหญิงสาวสลดวูบ น้ำเสียงที่หลุดลอดมาเหมือนไม่คาดฝันกับเรื่องราวที่รับรู้
"หรือคะ" ใจหายวูบ อดถามมิได้ "แล้วสัญชัยจะกลับมาที่นี่อีกไหมคะ?"
"กลับมาซีครับ" เขารีบตอบ "ต้องกลับมาแน่นอน หัวใจผมอยู่ที่นี่"
สายตาที่จ้องมองหญิงสาวเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง สายทิพย์ไม่กล้าสบสายตากับเขา แสร้งมองไปทางนกเล็ก ๆ สองตัวที่คลอเคลียกันอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ ๆ นั้น

"จะกลับมาเมื่อไหร่ ?" ถามอีกครั้งเหมือนจะคาดคั้น
สัญชัยลังเล เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยากแก่การตัดสินใจ แต่ในที่สุดก็ให้สัญญา
"ก่อนสิบสามเมษายน ผมจะกลับมาเล่นสงกรานต์กับสายที่นี่" เขาเอื้อมมือไปจับปลายนิ้วของเธอ บีบเบา ๆ
"คอยผมนะ" พูดเหมือนขอความมั่นใจ
หัวใจสายทิพย์สั่นไหว หลุดปากออกมาแผ่วเบา
"ค่ะ สายจะคอย" 

ฝากไว้ด้วย...หัวใจดวงนี้
ต่างนิ่งเงียบกันไปชั่วขณะ ได้ยินแต่เสียงลมที่พัดวู่หวิว นกเล็ก ๆ ระเริงร้องอยู่ในละเมาะไม้ใกล้ ๆ นั้น ไกลออกไป – บ้านของสายทิพย์ตั้งตระหง่านอย่างสงบอยู่ท่ามกลางดงมะพร้าว หลังคาสังกะสีสะท้อนแสงจนนัยน์ตาพร่าพราย

สัญชัยลดสายตาลงจากสิ่งเหล่านั้น และเป็นขณะเดียวกับที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ตาต่อตาสบกัน แล้วเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มที่บอกถึงความรู้สึกจากส่วนลึกของหัวใจ สายทิพย์บอกเขาด้วยสำเนียงค่อนข้างเบา
"สัญชัย คอยสายอยู่ที่นี่สักครู่นะคะ" เห็นสัญชัยจ้องมองสงสัย เธอรีบบอกเหตุผล "สายจะกลับไปที่บ้าน ครู่เดียวเท่านั้นค่ะ เดี๋ยวสายจะกลับมาหาสัญชัย"

"ไปทำไม ?"
"ธุระบางอย่าง รอนะคะ สายไปล่ะ"
ผละออกไปอย่างรวดเร็ว
สัญชัยมองตามหลังร่างโปร่งปราดเปรียวนั้นไปจนลับตา

มีอะไรหลายอย่างที่น่ารักรวมอยู่ในตัวของเพื่อนสาวตาคมดำขลับคนนี้ ยามใดได้พบ – ใกล้ชิดกับเธอ เขาไม่อยากนึกถึงอดีตอันมีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวและทุกข์ทรมาน ไม่อยากคิดถึงอนาคตซึ่งมีแต่ความมืดมิดเหมือนถูกกักขังอยู่ในห้องทึบ สัญชัยอยากมีแต่ปัจจุบันอันเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขสดชื่นเพราะมีสายทิพย์ อยู่ใกล้ ๆ

เขาถอนหายใจ ทรุดตัวลงนั่งที่โคนมะพร้าว คอยสายทิพย์ด้วยหัวใจว้าวุ่นสับสน
สิบนาทีผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า สายทิพย์จึงกลับมาพร้อมภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดใบหนึ่ง
มือซึ่งถือภาพถ่ายและปากกาสั่นระริก เอ่ยถามสัญชัยด้วยเสียงเหนื่อยหอบ ค่อนข้างประหม่า

"ภาพถ่ายสายเอง ขอมอบให้สัญชัยเป็นที่ระลึก แต่เขียนสลักข้อความว่าอย่างไรดีคะ? "
สัญชัยมองใบหน้าสีชมพูเปล่งปลั่งเพราะแรงฉีดของโลหิต อย่างตื่นตลึง ตอบเสียงเบา
"เขียนตามที่หัวใจของสายอยากจะบอก"

เธอก้มหน้า ใจเต้นระทึก เม้มริมฝีปากนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจสลักอักษรลงหลังภาพด้วยลายมือเรียบง่ายสวยงาม
"แด่สัญชัย มิตรใหม่ที่สายพอใจที่สุดค่ะ"
เพียงสายทิพย์ยื่นภาพนั้นให้เขา สัญชัยรีบรับเอามาทาบที่หน้าอกเบื้องซ้ายซึ่งหัวใจกำลังไหวระริก พร้อมกล่าวช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำจากส่วนลึกของหัวใจ

"...แม้เพียงภาพซาบซึ้งตรึงใจแล้ว
ถึงดวงแก้วแววฟ้าค่านับแสน
มาขอแลกแปลกปลอมไม่ยอมแทน
จะหวงแหนภาพสายจวบวายปราณ"

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รักของสองเรา


/พี่ลืมความเจ็บปวดร้าวรวดแล้ว
ยินเสียงแว่วแผ่วผ่านทรวงซ่านไหว
ด้วยถ้อยคำฉ่ำชุ่มไม่กลุ้มใจ
เช่นคราวก่อนร้อนเหมือนไฟไหม้ลามตัว

/ทั้งได้พบดวงใจให้รักย้อน
กลับคืนคอนเสียทีไม่หนีทั่ว
จากอ้างว้างเผลอไผลทำใจมัว
ให้ตื่นกลัวภาพฝันที่ผันแปร

/แต่ยามนี้มีสุขทุกข์ไกลห่าง
กับก้าวย่างสว่างไสวใจแน่วแน่
อิ่มอารมณ์ชมชื่นรื่นดวงแด
ขอมานั่งอยู่แค่ริมแพปลา

/อยากให้พี่ฟื้นความหลังแต่ครั้งก่อน
ยังอาวรณ์วันเก่าเก่าหรือเปล่าหนา
เผลอลืมกันบ้างไหมในนิทรา
ที่หายหน้าใช่หายห่างหรือร้างเลือน

/อย่าเพิ่งแตะต้องแขนที่แสนหวง
จันทร์ชิงดวงดาวดาษยังกลาดเกลื่อน
ขอความจริงทุกอย่างตอนห่างเรือน
ไปเป็นเดือนสองเดือนเหมือนไม่คืน

อารมณ์ไม่ดี


อย่าทำอะไรตอนอารมณ์ไม่ดี...
เพราะมันไม่เคยสำเร็จ

เคยลองพยายามฝืนใจทำงาน  ในขณะที่อารมณ์ไม่บรรเจิด
แล้วเราก็ต้องกลับมาแก้ใหม่  
เพราะมันทำไม่สำเร็จในเมื่อมัวแต่เอาสมองมานั่งคิดเรื่องไม่สบอารมณ์อยู่

เพราะฉะนั้น..ฉันก็เลยเลิกทำ..
หากขืนทำไปมันก็รังแต่จะทำให้หงุดหงิดเปล่าๆ
ที่แย่กว่านั้นก็คือ..มานั่งว่าคนอื่นเสร็จก็มานั่งว่าตนเองอีก...
ที่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง..
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว
การจะทำอะไรให้สำเร็จนั้น..ง่ายนิดเดียว
ก็แค่เราเอาใจใส่มัน..

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มอง...?



ลองนั่งมองผู้คน..อาจคิดอะไรออก

เวลาฉันมีปัญหาทีไร...ฉันก็มักเล่าให้คนใกล้ชิดฟัง
ไม่ได้ต้องการคำปรึกษา..เพราะเขาคิดคนล่ะแบบกับฉัน
ฉันแค่ต้องการระบายออก...แต่เวลาที่ฉันต้องการหาวิธีแก้ไข
ฉันกลับเดินออกไปนอกบ้าน...หาทำเลดีๆ นั่งมองคนเดินผ่านไปมา

การที่เห็นผู้คนผ่านไปมาอยู่หน้าชีวิตเรา
มันทำให้เรามองเห็นชีวิตอื่นๆ...ที่กำลังดำเนินไปตามขาของเขา
แอบนินทาคนโน้นคนนี้ในใจ...แล้วปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย
แล้วบางที..ฉันก็เจอวิธีออกจากปัญหาตัวเองได้ที่นั่น

บางที..นั่นอาจจะเป็นการที่เราเดินจากตนเองมามองคนอื่น
แล้วเราก็ไปเจอกระจกบานใหญ่...ที่ทำให้เรามองตัวเองชัดขึ้น
หรือไม่ก็...วิธีแก้ไขปัญหาของฉัน..มันไม่ได้อยู่ในตัวฉัน
สวรรค์เบื้องบน..อาจจะฝากมากับใครบางคน..ที่ฉันนั่งมองอยู่ก็เป็นได้
ด้วยรัก...

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความหวั่นไหว




อย่าหวั่นไหวให้กับคำพูด
แต่..โปรดหวั่นไหวให้กับความดี

ผู้หญิงส่วนใหญ่มีจุดอ่อน  คือ
แพ้คำพูดที่หวานหู
ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือ..ที่ใครหลายคนใช้เล่นกับความรัก
อาการหวั่นไหวเกิดขึ้นกับฉัน..
เมื่อมีคนคนหนึ่งมาพูดคำหวานให้ฉันฟัง

คำพูดของเขาช่วยให้หัวใจอิ่มเอมไปวันๆ
แต่กลับไม่เคยมีการกระทำใดๆเลย
ที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ฉัน
แล้ววันหนึ่ง..ฉันเริ่มชาชินกับคำพูดเหล่านั้น
เกิดความรู้สึกเลี่ยนๆ มาแทนที่
และนั่นกลับรู้สึกดี..กับการกระทำที่แสนดีของคนคนหนึ่งแทน

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความรัก


ความรักที่ดีงาม...
จะคอยผลักดันให้เราทำแต่สิ่งที่ดีๆ

เราทุกคน...เหมือนว่าจะถูกส่งลงมาเพื่อให้หล่อเลี้ยงตัวเองด้วยความรัก
สวรรค์...ใช่สวรรค์...ที่ส่งความรักมาเป็นดาบสองคมให้กับมนุษย์
เมื่อไหร่ที่เราเจอรัก...แล้วเราก็มีแต่เรื่องแย่ๆ ความทุกข์
และนั่นทำให้เราคิดอะไรไปในทางที่ชั่วๆ...
แปลว่านั่น..เราเจอความรักด้านมืดเข้าให้แล้ว

เรานี่แหล่ะกำลังจะปล่อยให้ฝ่ายอธรรมชนะฝ่ายธรรมะ
แต่เมื่อไหร่ที่ความรักฝ่ายธรรมะอยู่เหนือเรา
มันจะคอยบงการให้เราทำแต่เรื่องดีๆ
เราจะให้ฝ่ายไหนล่ะมาอยู่กับเรา...
เราต้องเป็นผู้เลือก....

เขียนตามภาพ

ขอบพระคุณภาพลายเส้นสวยๆ ของอาจารย์ Thirasak Wongcumnan มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ดูเรียงรายซ้ายขวาท่าตลิ่ง
สงบนิ่งอิงฝั่งอย่างเงียบเหงา
สุรีย์ส่องแสงสาดพาดเป็นเงา
กระโดงเสาเทาทึมก็ขรึมคอย

จอดเทียบท่าเรือนเลลมเหหัน
คลื่นกระชั้นพาลพลิกเรือริกร่อย
สายลมเทเร่ซัดจนพลัดลอย
ดั่งสาวน้อยสะเทิ้นอายเมื่อชายชม

โอ้!นวลน้องท่องเที่ยวคงเปลี่ยวจิต
ถึงมีมิตรชิดแอบแนบสุขสม
แม้เพลิดเพลินยามล่องท่องตามลม
ยังหน้าชื่นอกตรมคล้ายขมคาว

หากเรารักกัน




/เขาต้องคิดเองว่าเขาต้องทำหน้าที่ให้รักยังไง
จริงๆ เราทุกคนมีความคิดเป็นของตนเอง
ไม่มีใครคิดแทนใครได้...
และ..ไม่มีใครแก้ปัญหาด้วยวิธีของใคร
ฉัน..เป็นคนที่ไม่เคยฟังคำพูดของใคร
จะติดสินใจด้วยความคิดตนเอง
เหมือนการตัดสินใจเลือกใครมาเดินข้างๆ ด้วย

ความรัก..มันจะบอกเราเอง..ว่าเราควรปฏิบัติยังไงกับคนที่รัก
ทุกคน..คงไม่มีใครอยากทำให้คนที่เรารักเสียใจ
เมื่อไหร่ที่ฉันแน่ใจว่าได้เลือกแล้ว
นั่นหมายถึง..
ฉันพร้อมยอมรับในความเป็นเขา..และฉันเชื่อมั่นในความเป็นเขา

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

~ *ฉันอยากอยู่ กับคุณ* ~


ในความจริงฉันก็พยายามแล้ว
ที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ
แต่ก็ทำไม่ได้

เพราะทุกลมหายใจของฉัน
มีแต่เธอ เธอคนเดียว และเธอเท่านั้น

ฉันคิดถึงลมหายใจของเธอ
ยามที่เป่ารดใบหน้าของฉัน
ยิ่งสัมผัสถึงความอบอุ่นอันนั้นได้

เพราะมันคือความจริง
ยามเธอจุมพิตฉันด้วยริมฝีปากร้อนรุ่ม
ฉันจึงได้ลิ้มรสความรักที่แท้จริง..จากใจเธอ

เราทั้งสอง ต่างก็รับรู้ได้
ว่าความจริง ฉันมาที่นี่เพื่ออะไร
และ เพื่อใคร..

ไหวเอน



/พลิ้วใบหญ้าลู่ระเนนโอนเอนไหว
ยามลมไกวกระไรจิตไม่คิดหวั่น
หญ้าวูบไหวใจก็หวำเพ้อรำพัน
เกรงว่าฝันไปไม่ถึงซึ่งดวงดาว

/เที่ยวลัดเลาะเกาะติดคอยชิดใกล้
แต่เหมือนฝั่งฟ้ายิ่งไกลใจเหน็บหนาว
ทะเลหญ้าไหวพลิ้วเป็นทิวยาว
กระหวัดร้อยเรื่องราวพาร้าวใจ

/ยามลมพัดลัดฟ้ามองหาเธอ
ได้แต่เก้อเหม่อตามความหวามไหว
เหมือนต้นหญ้าคราหลับไม่ทับใบ
คงยืนรับน้ำค้างใสไม่โรยรา

/คงจะเหมือนกับเธอมิเผลอไผล
แม้ไร้สิ้นแรงใจปรารถนา
ยังมีเพียงฉันคนเดียวเกี่ยววิญญาณ์
ด้วยคมเคียวแห่งเวลาและอารมณ์

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

...ด้วยรักและห่วงใย...


...ด้วยรักและห่วงใย...

/ด้วยมีโรครุมเร้าเฝ้าไม่ห่าง
คอยระหว่างเราเดินเพลินกับฝัน
จนใกล้พรากน้องไกลอยู่ทุกวัน
ไม่รู้เดือนปีผันของพรรค์นี้

/จะต้องลาตอนไหนใครรับรู้
ใจยังมั่นคงอยู่สู้เคียงพี่
ขอเพียงมั่นรักไว้ในฤดี
คงไม่ไกลเกินลี้พี่จะรอ

/ไม่อยากมองฟากฟ้าอุราสั่น
เห็นพี่นั้นคร่ำครวญชวนใจฝ่อ
บอกรักยังคงมั่นฝันเคยคลอ
มานั่งลงตัดพ้อต่อใจจำ

/จะบอกความตามจริงที่อิงอยู่
น้องนั้นก็รับรู้อยู่ทุกค่ำ
ว่าพี่รักปักใจในน้ำคำ
ทั้งห่วงหวงกลัวช้ำระกำใจ

/น้องก็อยู่ไม่ห่างทางฟากนี้
ก็เหงาบ้างบางทีที่หวั่นไหว
ไม่เจอกันพี่บอกหยอกลมไกว
จะทำไงกันดีเล่าพี่ยา

/หากถามว่าคิดถึงกันบ้างไหม?
ตอบแล้วนะจากใจยามไกลหน้า
คิดถึงมากคิดถึงทั้งหลับตา
ก็ละเมอร้องหาให้มาพลัน

/ไม่เคยลืมความหลังครั้งก่อนเก่า
นั่งจับเจ่าคอยแลตรงแคร่นั่น
กระท่อมน้อยปลายนาครามีกัน
มองตะวันลับขอบกรอบเหลี่ยมภู
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background