Translate

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ดวงใจรัก...



/ฉันหลบซ่อนพรางตัวไปทั่วห้อง
ก่อนนั่งมองฝนโปรยโรยพื้นหญ้า
อยากจะลืมบางสิ่งที่ทิ้งมา 
แต่ก็ล้าเหลือเกินยากเดินไป

/ทอดสายตาฝ่าถนนคนคลาคล่ำ
ทุกก้าวย่างตอกย้ำความช้ำให้
เห็นทุกหนคนพล่านผ่านแต่ไกล
มีบางใครบอกไว้จะได้พบคุณ

/ขอให้ฉันเข้าใกล้จะได้ไหม
แล้วจับจองห้องใจเพื่อไว้หนุน
ขอเข้าไปแนบชิดจิตละมุน
ขอไออุ่นมาผสานสมานทรวง

/ยื่นมาเถิดมือพลอยนั้นคอยอยู่
แสดงให้ได้ดูรู้ทุกช่วง 
ไม่คิดจะหลอกเล่นหลบเร้นลวง
แต่ว่าห่วงจากใจมีให้เธอ

/โบราณกล่าวฝากไว้ให้ข้อคิด 
รักชั่วนิจนิรันดร์นั้นเพ้อเจ้อ 
ไม่มีหรอกหวานตลอดจนละเมอ
แต่ที่เหม่อเผลอส่งใจไปใกล้กัน

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความเอ๋ย...ความรัก



ขอขอบคุณบทกลอนของคุณธนา มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
--------------
ความเอ๋ย...........ความรัก
เจ้าจำหลักปักวางอยู่ทางไหน
เฝ้าเวียนวนค้นหาขอบฟ้าไกล
แค่รอยไถไหมร้อยฤาคล้อยจาง

เจ้าสำอางยางสูงดั่งยูงหงส์
หยิ่งทะนงสำแดงรำแพนหาง
เลิศสำรวยสวยสดหมดอำพราง
ทุกเยื้องย่างยาตราดั่งราณี

แววระยับจับห้วงแห่งดวงจิต
สิงสถิตกลางใจไม่หน่ายหนี
ดั่งเปลวเพลิงเหลิงโหมโถมชีวี
รอวันที่มอดไหม้ในใจตน

ค่ำคืนนี้เคยมีเขาเคียงคู่
ออดอ้อนอยู่รู้ใจไปทุกหน
มาวันนี้ไม่มีแม้ตัวตน
ไม่มีคนเคยรักเคยปักใจ

เขาไปอยู่แห่งไหนในคืนนี้
คำรักที่เคยให้จำได้ไหม
รักเราสองปองค่าเกินกว่าใคร
ฤาโหมไหม้เปลวไฟที่ไหม้ฟาง

ไม่มีเสียงสิ่งใดในความเงียบ
เย็นยะเยียบเฉียบหมายหน่ายเมินหมาง
หรือว่ารักรวยรินกลิ่นจืดจาง
หนาวน้ำค้างราตรีคลี่น้ำตา

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ห่วงใย...



 ฟังกานท์หวานฉ่ำ
เลิศล้ำอักษร
แวะเวียนเมื่อออน
เฝ้าสอนอ้อนคำ

ช่วงนี้มีฝน
ร่วงหล่นทุกค่ำ
อยู่เป็นประจำ
จึงย้ำอีกครา

ระวังเป็นไข้
ร่างกายอ่อนล้า
เมื่อยแขนเมื่อยขา
หยูกยาจัดคอย

อาหารมีไหม
หาไว้สักน้อย
เผื่อน้ำมากหน่อย
ได้พลอยอุ่นใจ

ยามนี้ฟังกานท์
สื่อสารสายใย
ที่ร้อยมาให้
ชื่นในชีวา

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฉันอยู่กับความเหงา




/สุดปลายทางของแยกแทรกความเหงา
คงจะมีแต่เราเฝ้าสับสน
จะมีบ้างหรือเปล่าเล่าสักคน
ช่วยพาความหมองหม่นให้พ้นไป

/เมื่อกาลก่อนมีเธอยืนข้างข้าง
ส่งยิ้มอันเลือนราง อยู่ไหวไหว
ความอบอุ่นมีเสมอจากหัวใจ
แต่วันนี้กลับไกลกันเหลือเกิน

/เขาจะรับรู้ไหมใครคนหนึ่ง
คอยส่งความคิดถึงซึ้งจนเขิน
ในคืนค่ำฝนโปรยโรยทางเดิน
ตรงดินเนินเรือล่องเคยท่องกัน

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

...รับดวงใจใครถอดวาง...



...รับดวงใจกับมือถือไว้มั่น
กี่คืนวันกี่ฝันผ่านบางสิ่ง
จะไม่ลืมสักครั้งตั้งใจจริง
แม้ยากยิ่งจะเฝ้าหวงเธอท้วงมา

...ยังเก็บกำเอาไว้ไม่ให้จาก
ไม่ต้องมากไม่ต้องแบ่งแย่งซื้อหา
ไม่ลังเลเมื่อใดได้เวลา
จะเกี่ยวเอามาเก็บเหน็บในมือ

...รักหลอกลวงไม่เอา เราไม่คิด
ไม่อยากขีดร้อยชิดเผยจิตซื่อ
ไม่ฮึดฮัดดวงใจไม่เล้า ฤา
จะไม่ถือเอามาคั้นจนผันกลาย

ไม่ต้องฝากหรอกดวงใจที่ในอก
ไม่ต้องยกมาคอยย้ำเตือนความหมาย
ไม่ต้องบอกรักนิรันดร์จวบวางวาย
ขออยู่กันวันสุดท้ายครองชายเดียว

...เพราะมีหนึ่งดวงใจที่หมายตอบ
เป็นความชอบส่วนตัวใช่คั่วเกี่ยว
ใจหนึ่งดวงทรวงหนึ่งนั้นมั่นกลมเกลียว
ไม่แม้เสี้ยวเศษส่วนคอยป่วนกัน

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

~ สายฝนพร่ำ~



๐ครืน ครืน เสียงฟ้าร้องก้องเวหา 
ก้อนเมฆามืดดำก่ำฟ้าหม่น 
สายฟ้าแลบแปลบปลาบฉาบเบื้องบน
 บันดาลดลฝนฉ่ำมากล้ำกราย 

๐เฝ้าแต่มองท้องฟ้ายามใจหมอง
 แสงสีทองด่วนดับลับเลือนหาย 
เสียงเม็ดฝนร่วงหล่นมาประปราย
 แผ่กระจายลายเส้นเห็นแพรวพราว 

๐ฟังแต่เสียงเมียงมองอยู่ตรงนี้
 ซึ่งเป็นที่หลบฝนทนเหน็บหนาว
 เขียนกวีแต่งรับปรับเรื่องราว 
เป็นเพลงยาวรินร่ายหลายอารมณ์

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วันพระ


จงทำใจให้สว่างอย่างดวงแก้ว
จะผ่องแผ้วสดชื่นระรื่นฉ่ำ
เกิดเป็นคนแสนยากต้องตรากตรำ
โปรดอย่าทำกรรมชั่วติดตัวตน

๒๐/๑๐/๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อดทนและรอคอย


ให้รักสิ่งที่ทำแม้ลำบาก
เหนื่อยยากฝึกฝนทนหนัก
รอเวลาทำสิ่งดีสิ่งที่รัก
หน้าที่มักนำศรัทธาสู่น่าทำ

สวัสดียามสายๆค่ะทุกท่าน

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ให้เพียงเธอ...


/ผ่านมาจึงได้ยินเขาสิ้นชอบ
อยากจะเข้าไปปลอบตอบเสียงหนัก
แต่จนใจในคำที่ย้ำนัก
เพิ่งประจักษ์เขาบอกรักหลอกลวง

/ยังจำได้หรือเปล่าเล่าตอนแรก
ใครเที่ยวแจกความหวังพลั้งเป็นช่วง
ความทรงจำก่อนเก่าเฝ้าติดทรวง
ยังเคยห่วงเสมอเผลอทุกที

/จนความรักทักทายมิหายห่าง
ไม่ได้จางรางเลือนแม้เคลื่อนที่
จะลืมกันหรือไงคนใจดี
พูดอย่างนี้ หมายเมินเดินห่างไป

/แล้วมาบอกมีมีด รอกรีดอก
จนสะทกสะท้านเกินทานไหว
หวาดผวาจริงพ่อพ้อแต่ไกล
ใครนะใครชวนตัดสายสัมพันธ์

/ไม่ได้หลบหนีเลยเคยเห็นหน้า
ยังเวียนว่ายกายหาล่าท้าฝัน
ฝากกระซิบวอนลมออกชมจันทร์
แต่พี่เบือนหนีกันไม่ผันมอง

/ไม่ได้โกรธเคืองหรอกบอกเอาไว้
หากวันใดพี่ตรมระทมหมอง
จะรีบมาให้ทันหวาดหวั่นครอง
ปลดทุกข์คล้องสุขเสริมเติมพลัง

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

๐ ฟัง..เพลงคนธรรพ์ ๐


๑. จะอ้อนลงตรงกลางระหว่างอก
วณิพกร่อนเร่มาเห่ศิลป์
ร้อยบรรเลงเพลงกวีคลี่กวิน
ไว้แทนปิ่นโกสุมปทุมพร

๒. ไม่หวังแก้วเพชรทองที่ผ่องหล้า
หรือเงินตรากำนัลบรรจถรณ์
จะท่องถิ่นแคว้นใดไม่อาทร
หวังเพียงนอนซบแนบแอบตักนาง

๓. จะเอื้อนเอ่ยเผยร่ำรำพันรัก
เปรียบสิบพักตร์ทศกัณฐ์ไม่หันห่าง
สีดาเอ๋ยพี่พร้อมยอมละวาง
ขอเคียงข้างแต่น้องมิปองใด

๔. พี่รักเจ้าหมายเพียงเผดียงขวัญ
ถ้อยจำนรรจ์มอบไว้ด้วยใจใส่
เรืองรังรองร้อยเรียงเพียงอำไพ
ขอนวลใยอย่าเขินสะเทิ้นเลย

๕. จะห่มผ้าอาภรณ์ด้วยกลอนห่ม
หนาวระทมข่มอกนะอกเอ๋ย
พี่จะกอดป้องงามนะทรามเชย
แล้วจะเอ่ยคำรักพิทักษ์นวล

๖. ราตรีนี้มีแต่เรา เพียงเราสอง
กอดประคองพวงแก้มพลางแย้มสรวล
มิห่างหายวายวางมิร้างรวน
รอยรัญจวนจุมพิตประดิษฐ์ชม

๗. มุ่นเมฆเสยเกยกอดแล้วพลอดพร่ำ
ร่ายลำนำเพลงรักประจักษ์สม
หวานเอ๋ยหวานเพลงกลอนมาอ้อนพรม
ให้เอวกลมรับรู้อยู่ตราตรึง

๘. อย่าหวั่นเลยจอมขวัญอย่าหวั่นพี่
ดาลฤดีดวงจิตให้คิดถึง
กระชับแนบไหวทรวงห้วงคำนึง
เคล้าคลอคลึงเคียงคู่พธูงาม

๙. วณิพกบรรเลงบทเพลงร้อย
ไหลล่องลอยสู่จินต์ถวิลหวาม
ถวิลหวังวัจน์วากย์ฝากนิยาม
ไว้แทนความซาบซึ้งหนึ่งรำพัน ๚๛

ขอขอบคุณคุณหมูมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

/เขาจะอ้อนลงกลางระหว่างอก
แล้วหยิบยกเพลงกลอนร่อนห่มขวัญ
เปิดเพลงดังเย้ายวนครวญฉับพลัน
ทำอกสั่น แต่เช้า เคล้าลมมา

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนามกุหลาบ

ที่มาของกลอนชุดนี้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=1000kom&month=10-2013&group=42&date=05&gblog=7


/มารู้ใจไม่เหลือเมื่อสายแล้ว 
โอ้..!ขวัญแก้วสิ้นชีพตักษัย
เจียนจะขาดแล้วหนาโดนคร่าใจ
นั่งร่ำไห้คิดถึง..ยอดขวัญตา

/สองวันก่อนจะจากพรากน้ำเสียง 
ยังนึกเรียงคำกล่าวคราวเจอหน้า 
ไม่ทำให้พี่โกรธจนระอา
ที่เคยบ่นก่อนลาจากมาไกล

/มีเรื่องทุกข์ร้อนเร่าเล่ากันบ้าง 
หรือเหินห่างยากย้อนกลัวอ่อนไหว
ร้างแล้วรักล้นทรวงเคยหน่วงใจ 
จนมาทิ้งน้องไกลทำไมกัน

/ไม่รู้หรืออย่างไรว่าใคร่พบ
อยากจะสบตาต่อพ่อยอดขวัญ…
ไม่ได้อยากมาจ้องแค่ปล่องควัน… 
จนกายสั่นหวั่นก้มจะล้มลง

/เพราะโดนพิษกุหลาบเขาทาบไว้
จนเลือดนองดวงใจที่ไปหลง 
ให้บอบช้ำเหมือนทำเขาปลิดปลง
ชีพดับลงด้วยรักที่ปักทรวง

/ดั่งดวงใจโดนกรีดด้วยมีดแหลม
ในคืนแรมไร้เงาเขาที่ห่วง
ไม่มีคนของใจมาไล่ทวง
รักที่หวงเหมือนก่อนตอนเราเคียง

/มองกุหลาบกลีบหล่นบนเรือนรัก
ที่เคยนำมาปักตอนพักเที่ยง
หนามกุหลาบตำมือที่ถือเรียง
พี่ส่งเสียงเอ็ดอึงตาขึงมอง

/คิดขึ้นมาพาใจให้ทดท้อ
น้ำตาคลอหยดไหลใจเศร้าหมอง
แผลอดีตกรีดใจเมื่อไตร่ตรอง 
มิอาจร้องเรียกกลับเมื่อลับกาย

หอมข้าวใหม่-ใจกลางบ้าน


.....-๐ หอมข้าวใหม่ ๐-..... 

๑.หอมกลิ่นหอมข้าวใหม่อุ่นไอรัก
 เกินห้ามหักดวงจิตพิสมัย 
หอมกลิ่นแก้มแกมซึ้งซึ่งห่วงใย
 หอมหัวใจเราสองประคองเคียง

๒. หวานเอยหวานน้ำคำที่ร่ำร่าย
 จะเช้าสายสื่อสารมั่นสื่อเสียง 
หวานไพเราะเสนาะคล้ายในสำเนียง
 ถ้อยจำเรียงเคียงคู่เฝ้าชู้ชม

๓. เพียงประสานกานดานัยน์ตาแก้ว 
เมียงมองแล้วชม้อยพลอยสุขสม 
ฉายความรักซึ้งซาบอาบอารมณ์
 แย้มนิยมพรมดาวที่พราวตา

๔. พร่างพรายพริ้มยิ้มยวนก็ป่วนจิต 
นฤมิตเดือนหงายกระจ่างจ้า
 กระจ่างแจ้งแจรงเลิศเจิดนภา
 เสน่หา เกินฝันยากบรรยาย

๕. ประคองรักเพียงรักนะรักเจ้า
 คลอเคลียเคล้าเคียงกันกระสันสาย
 เลียบธารทองท่องรักมิพักวาย
 อบอุ่นอายซาบซึ้งเพียงหนึ่งนาง

๖. บุญสายใยเราสองร่วมครองคู่ 
จึงรับรู้มณีล้ำอำไพพร่าง 
นพรัตน์จรัสเลิศเพียงเทิดวาง
 มิแรมร้างห่างลับไปกับกาล

๗. เจียรบรรจงลงสลักคำรักแท้
 มิผันแปรเปลี่ยนแปลงแสร้งไขขาน
 ภิรมย์น้องปองชายแม้วายปราณ 
จารึกผ่านพิศวาสเป็นสัตยา

๘. จับมือแล้วร่วมพายสายธารนี้
 สองฤดีสู่สรวงด้วยห่วงหา 
กี่ร้อยโค้งคดเคี้ยวสุดเคียวตา
 สองชีวาร่วมพายไม่ไกลเกิน

๙. หอมข้าวใหม่ ยังเหมือนมิเลือนสิ้น
 ยังกรุ่นกลิ่นกรุ่นใจไม่ขัดเขิน 
แม้ชีวิตผ่านช่วงห้วงดำเนิน
 ยังหอมเพลินข้าวใหม่ ไม่เว้นวัน ๚๛

โดย...มารบูรพา มยุรธุชราชันย์
ขอขอบคุณ คุณมารบูรพามา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


...ใจกลางบ้าน...

/อวลไออุ่นกรุ่นอยู่ มิรู้หาย
ยังไม่คลายจากจางร่วมสร้างฝัน
สองเรายังคงประคองคล้องสัมพันธ์
ยิ้มละไมกับวัยวันอันรื่นรมย์

/เพราะดวงใจเกาะเกี่ยวไม่เลี้ยวลด
จึงปรากฎความหวานผสานผสม
มีแต่ความเข้าใจใครต่างชม
ไร้ขื่นขมห่มสุขทุกเวลา

/คอยส่งสารด้วยคำนำบอกกล่าว
กับเรื่องราวรายวันกลั่นภาษา
เป็นกลอนหวานขานขับปรับเรื่อยมา
ไล่เหนื่อยล้าพลันหายย้ายจากไกล

/พร้อมความรัก ความดี มีเสมอ
ตอนเจอะเจอก็สุขทุกข์ไม่ใกล้
เพียงมีรัก มีขวัญ กำลังใจ
คอยเติมใส่ยามเหนื่อยเมื่อยจากงาน

กำลังใจ ให้ทุกหวัง



มีความงามสดใสในใจนี้
ให้คนดีของหัวใจไกลสุดหล้า
ฉันกอบเก็บความทรงจำที่ผ่านมา
ความไร้ค่าตอนล้ามาเตือนทรวง

จะกอบเก็บดอกไม้ใสพิสุทธิ์
เปรียบประดุจดอกไม้ธรรมค้ำทุกช่วง
ล้อมด้วยรักความดีมิมีกลวง
ไร้เชือกบ่วงหน่วงใจไกลมลทิน

ฉันจะเก็บความทุกข์ขลุกหมดหวัง
เติมพลังกาย-ใจอย่าได้สิ้น
เพิ่มความรักความคิดถึงขึงในจินต์
พับความเหงาเคล้ากลิ่นตามถิ่นใจ

เปิดดวงใจไฟฝันวันเสรี
ให้โบกบินไปทุกที่มิหวั่นไหว
แล้วเก็บดวงตะวันมากลั่นไฟ
ไว้เติมให้กับผู้กล้ายามล้าแรง

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความรัก



ฉันเข้าใจในรักพี่ถักส่ง
นำวางตรงหน้าฉันวันแสนเศร้า
ต่อจากนี้สิ้นหวังจะยั้งเงา
หรืออย่างไรกันเล่าให้กล่าวมา

ใครจะลืมความหลังที่พลั้งฝาก
ใครกันที่มาพรากจากใบหน้า
ใครกันหรือที่ลืมคำสัญญา
ใครกันที่ไม่มาหาสักที

คำที่ฝากสายลมมาห่มให้
รับรู้ทั้งดวงใจใครคนนี้
งั้นต่อไปรักเราไร้ราคี
จะไม่หันหน้าหนีพี่อีกเลย

*****ดวงตาอาฆาต ๙*****


คงจะเพราะนอนคิดจนไม่หลับทั้งคืนเลยทำให้วีรนุชตื่นสายกว่าปรกติหญิงสาวลืมตามองเพดานอยู่เป็นครู่ก่อนจะยกมือบีบขมับตนเองแล้วคลึงเบาๆเพื่อให้คลายความปวด

ก๊อกๆ

เอี๊ยด...

“เป็นไงบ้างลูกวี แม่ทำข้าวต้มไว้ให้นะ ลุกไหวไหม? ตัวร้อนหรือเปล่า?”ถามแล้วก็เดินไปเปิดผ้าม่านให้แสงเข้ามาก่อนเดินมาใกล้ๆ เอามืออังที่หน้าผากหล่อน

“ตัวรุมๆ นะ ลุกขึ้นล้างหน้าลงไปกินข้าวเสียหน่อยเถอะลูก จะได้กินยานะลูกนะ”เสียงคุณปิ่นบอกความอาทรอย่างอบอุ่นหล่อนมองใบหน้าของมารดาแล้วพยักหน้ารับ ใช้มือยันตัวลุกขึ้นเลื่อนตัวลงจากเตียงช้าๆ

วีรนุชเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ สักครู่ก็ออกมา หล่อนเดินลงไปทานข้าวกินยาตามที่มารดาบอกแล้วนอนหลับทั้งวัน จนเย็น

ติ๋งต๋อง

เสียงออดดังที่หน้าประตู คงจะเป็นเพื่อนบ้านมาหามารดาละมั่ง หล่อนลุกขึ้นนั่งมือคว้าหนังสือขึ้นมาอ่าน

-----------------

“สวัสดีค่ะคุณแม่ พวกหนูเป็นเพื่อนกับวีรนุชค่ะ”เสียงรตาบอกออกมาอย่างสดใสเป็นการรายงานตัว


“วีรนุชไม่สบายหรือคะ คุณแม่?พอดีพวกหนูไม่เห็นเธอไปเรียนก็เลยเป็นห่วงน่ะค่ะ”ปภาวดีถามบ้างอย่างห่วงใย


“จ้ะ เห็นบอกว่าปวดหัวนะ  ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะเขาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นน่ะจ้ะ ตามสบายนะจ้ะ เข้าไปเถอะ”คุณปิ่นบอกอย่างใจดี  “ตามสบายนะทุกคน เดี๋ยวแม่จะเอาขนมมาให้กินกัน”

“ขอบพระคุณค่ะ คุณแม่”ยกมือไหว้ขอบคุณมารดาของเพื่อนแล้วเดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
รตายื่นใบหน้าเข้าไปก่อน หันซ้ายหันขวา“จ๋ะเอ๋...! วีรนุช เป็นไงบ้างจ้ะ?”

วีรนุชหันมามองเบิกตาโตอย่างคาดไม่ถึงว่าเพื่อนๆ จะมาหาในวันนี้  “เฮ้..รตา ศิลา ปภาวดี มาได้ไงนี่?”ร้องถามอย่างตื่นเต้น

“เธอเป็นไงบ้าง วีรนุช? ”ศิลาถามออกไปเมื่อลงไปนั่งที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เป็นไรแล้วจ้ะ พรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนได้แล้วล่ะ”วีรนุชบอกเพื่อนเบาๆและส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ

“นี่วีรนุช วันนี้คุณครูกำหนดวันสอบมาแล้วนะเราเลยมีข้ออ้างมาเยี่ยมเธอยังไงล่ะ”ปภาวดีบอกยิ้มๆ

“โห..! จะสอบแล้วหรือนี่?  “หญิงสาวทำตาโตปากห่อๆ เมื่อเพื่อนพูดจบ

มารดาเดินนำถาดขนมและน้ำเข้ามา ปภาวดีเห็นรีบลุกขึ้นยื่นมือออกไปขอมาถือเอาไว้  “อุ๋ย..! คุณแม่มาค่ะหนูเอง”

เพื่อนๆอีกสามคนเห็นอย่างนั้นรีบยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกัน  “ขอบพระคุณค่ะคุณแม่”

“วีรนุช เรามีเรื่องประหลาดมาเล่าให้เธอฟังด้วยนะ”รตาโน้มใบหน้าไปใกล้ๆเพื่อน “พวกเราไปนั่งคุยกับลุงจำเริญมาเมื่อเที่ยงหลังจากกินอาหารเสร็จ แกเล่าว่าเมื่อหกปีที่แล้วน่ะ ที่นี่มีเด็กนักเรียนเข้ามาใหม่ ปี  ๒ ห้อง A และเขาก็มีตัวตนจริงๆนะ แต่ตายไปแล้วเมื่อวันที่ ๖ เดือนตุลานะ”รตาเล่าด้วยใบหน้าตื่นเต้น

วีรนุชฟังด้วยความระทึก เหงื่อชื้นเต็มอุ้งมือที่หล่อนกำเข้าหากัน ด้วยความหวาดกลัว ดวงตาเป็นประกาย

“และในสองสามเดือนก่อนหน้านั้นก็มีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่เหมือนเธอเลยล่ะ”ปภาวดีเสริมคำพูดของเพื่อน

“อยากรู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อหกปีที่แล้วและทำไมวิญญาณจึงยังมาวนเวียนอยู่ห้องนั้น”ศิลาสงสัย

“นั่นสิ  ฉันก็คิดเหมือนเธอนะศิลาเสียดายระฆังดังเสียก่อน ไม่งั้นลุงแกคงเล่าจบ”รตากระซิบกับเอนๆ

“เอาน่า รอให้สอบเสร็จแล้วปิดเทอมก่อนเถอะ เราไปล่าความจริงจากต้นตอด้วยกัน”ศิลากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ทั้งสีมองหน้ากันแต่ความรู้สึกไม่ต่างกัน

----------------

เมื่อสอบวันสุดท้าย วีรนุชรู้สึกได้ว่าหล่อนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากไปและทำข้อสอบไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ก็หงุดหงิดบ้างเล็กน้อย

ในที่สุดก็ปิดเทอม

ศิลาก็ชวนปภาวดีและรตามาที่บ้านวีรนุชแต่เช้า ซึ่งทั้งหมดก็เริ่มพุ่งเป้าไปที่บ้านเกิดของนิลนาถซึ่งอยู่ไปอีกหมู่บ้านไม่ไกลกันนัก

ทั้งสี่มาถึงหมู่บ้านที่นิลนาถเคยอยู่และจอดรถเดินดูบ้านเลขที่ๆ จดมาจนเจอ

ปภาวดีก้มๆ ส่ายตัวมองเข้าไปภายใน เหมือนจะไม่มีคนอยู่ เห็นป้าข้างบ้านออกมาจึงยกมือไหว้แล้วถาม

“สวัสดีค่ะคุณป้า เอ่อ..นี่ใช่บ้านของคุณนิลนาถ ปานน้อยไหมคะ? ”


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

คืนแสนเหงา


/ในค่ำคืนแสนเปลี่ยวเหงา
นั่งมองดาวเกลื่อนฟากฟ้า
ที่ส่องแสงงามจับตา
อีกฟากนากระท่อมเงา

/ทั่วท้องทุ่งเป็นคุ้งน้ำ
ถ้าฝนพรำจนย่ำเช้า
หว่านเม็ดโปรยลมโชยเบา
หากใครเศร้าจะร้าวทรวง

แพรอักษร

กับวันใสใส


/ด้วยขอบฟ้ากว้างไกลเกินไปถึง
จึงส่งรักแสนซึ้งคะนึงยิ่ง 
ฝากสายลมไปบอกตามความจริง 
อยู่นิ่งนิ่งดวงใจอิงไปพิงเธอ

/เพราะว่ารักเป็นเหตุผลของคนรัก
ต่อให้มีอุปสรรคทักทายเสมอ 
เพราะความรักฝังจิตชิดละเมอ 
จึงฝันเพ้อทุกค่ำย้ำทุกคืน

/เมื่อมีรักก็มักประจักษ์สุข 
ไร้ความทุกข์ให้เศร้าร้าวสะอื้น 
ลืมทุกสิ่งทุกอย่างห่างขมกลืน
ไม่ต้องฝืนนั่งยิ้มแสนอิ่มใจ

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ในโลกที่มีเธอ




/โลกของเราทุกวันนั้นน่าอยู่
เพราะมีเธอเดินคู่ดูกับฉัน
โลกใบนี้มีรักมาถักปัน
ให้เธอฉันคอยเพ้อละเมอกลอน

/และโลกนี้สวยดีไม่มีเศร้า
มีแต่ความสุขเคล้าไม่เร่าร้อน
มีความรักความเผื่อแผ่แลอาทร
มีอักษรให้เขียนเรียนทุกวัน

แพรอักษร

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สวัสดียามเช้า


เช้าวันนี้แดดจ้าน่าสดใส
วิบวับไหวแพรวพราวราวดวงแก้
ประกายผ่องผุดผาดวาดตามแนว
ช่าววาวแววแถวขอบรอบน่านเนินฯ

อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกๆท่าน

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

๐๐๐ ทางชีวิต ๐๐๐


/ทางชีวิตใครลิขิตให้คิดฝัน
เธอตัดพ้อว่ากันนั้นมากหลาย
ใครคือยูงสูงศักดิ์กาเลื่อมลาย
เอาความหมายคล้ายท้อต่อว่าตน

/หยุดความคิดแบบนั้นฉับพลันเถิด
อย่าได้เกิดกลัวปุบปับอย่าสับสน
อย่าคอยอ้างหาเหตุสังเกตคน
จะวกวนบนทางที่ย่างไป

/นั่งน้อยใจเสียนักเพราะรักเขา
คอยและเฝ้าทายทักเขาผลักใส
เดินหันหลังออกมากล้าเข้าไว้
อย่าหวั่นไหวเมื่อเจอเธอสวนทาง

/จบตรงนี้พักสักทีหนีให้พ้น
เจ็บเกินทนแล้วใจอย่าไปขวาง
กับความรักเก็บงำคอยอำพราง
อยู่มันอย่างเรียบเฉยให้เคยชิน

~*คิดถึง*~

ฝากสายลมช่วยตามหา
---
คืนวันนี้ช่างเงียบเหงาเฝ้าถามหา
วันเวลาที่คอยรอขออยู่ไหน
ใครคนนั้นที่ฉันฝันทุกวันไป
เขาอยู่ไหนไกลสุดหล้าน้ำตานอง

แสนคิดถึงรู้ไหมใจดวงนี้
ยังเซ้าซี้เฝ้าฝันวันเราสอง
เคยเคียงคู่คลอเคล้าแนบประคอง
เคยเรืองรองกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดวงใจ

วันที่ฟ้าเพริศแพร้วแพรวพราวเมฆ
ทั่วอาเขตสว่างกระจ่างใส
เพราะมีเขาแนบข้างไม่ห่างไกล
โลกสดใสแวววับระยับตา

แม้เราสุดแตกต่างห่างไกลแสน
โอกาสแม้นได้พบประสบหน้า
ยากยิ่งดั่งสุริยันและจันทรา
เที่ยววนหามิห่างมิร้างคืน

แต่เพราะพรหมลิขิตคิดกำหนด
เกิดเป็นบทละครมิผ่อนขืน
หวานละมุนอุ่นฝันทุกวันคืน
ระเริงรื่นรักสองครองฤดี

ดั่งจันทรามีดาราคอยเคลียเคล้า
เมฆาเจ้าเฝ้าโอบเร้าสุรีย์ศรี
นภากาศโอบวาดปฐพี
สายนทีมีหาดอ้อมล้อมรอบใจ

ต่อแต่นี้ไม่มีดาราดาษ
สายฟ้าฟาดสาดสานสะท้านไหว
สุริยันจันทราลับลาไป
สายนทีม้วนไหวอลวน

ดังวางวายกายจิตสนิทเศร้า
ทั้งเงียบเหงาเคล้าเจ็บเหน็บสับสน
เที่ยวโหยหาไขว่คว้าหารักจน
เปรียบเหมือนคนใบ้บ้าน่าอับอาย

แค่เธอบอกจะไปใจแทบขาด
ชีวีวาบอาบนองทั้งสองสาย
ถึงวันเธอจากจางดั่งวางวาย
ชีพสลายคลายสิ้นถิ่นทางเดิน

ทุกคืนวันเฝ้าฝันกระหวั่นหา
ถ้อยวาจาคว้าไขว่ไม่ห่างเหิน
อยากให้เธอหวนกลับมาเหลือเกิน
อย่าห่างเหินเมินหมางร้างรากัน

รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจไม่หวนกลับ
สายลมพัดผ่านไปไม่กลับหัน
กาลเวลาผ่านไปไม่หวนวัน
แต่ใจฉันกลับหวนทวนรักเธอ

ฝากสายลมพัดไปไกลสุดหล้า
ช่วยตามหาบอกเขาว่ารักเสมอ
ทุกคืนวันเฝ้าใฝ่ฝันหวั่นละเมอ
ยังเฝ้าเพ้อเธอหวนกลับซับน้ำตา

ชีวิตดั่งน้ำค้างหาว กรรมสิ้น เวรหมด ใจหลุดพ้น
ตำนานแห่งสายน้ำ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รู้ไหม..?


/มีดวงใจหนึ่งดวงช่วงอ่อนล้า
กับความฝันสูงค่าพาวาดไว้
อีกชีวิตใครหนึ่งซึ่งเปลี่ยนไป
ที่เธอทำให้ไหวในสัมพันธ์

/ก็ความรักหลากหลายทำลายลึก
ความรู้สึก แววตาพาเปลี่ยนผัน
ที่เคยเห็นสดใสในวัยวัน
ใจเธอนั้นกลับกลายร้ายเหลือดี

/รู้ไหม รู้บ้างไหมยามใจรัก
ฉันแน่นหนักกับเธอเสมอนี่
ให้ทุกอย่างที่เห็นและที่มี
แต่เธอสิ ที่โหดร้ายหมายฆ่าฟัน

Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background