Translate

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ขอบพระคุณ..คำอวยพร


/ขอพรชัยมงคลดลบันดาล
ให้พี่น้องทุกท่านชื่นบานทั่ว
ไร้สิ่งขุ่นหมองจิตสะกิดตัว
ห่างหม่นมัวเหมือนพรป้อนในกานท์
ให้ท่านมีความสุขไม่ทุกข์โศก
นิราศโรคนิราศภัยดังไขขาน
อายุมั่นขวัญคงธำรงนาน
สุขสำราญชีวิตเป็นนิตย์เทอญ.
พลอย ขอกราบขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งและจริงใจ กับคำพรวันเกิด
และขอตั้งจิตอธิษฐานให้พรที่ได้รับจากทุกๆ ท่านนั้น
จงได้ส่งผลอันล้ำเลิศ ย้อนกลับสู่ทุกๆ ท่านหมื่นเท่าทวีคูณโดยทั่วกัน
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ด้วยรัก...จากใจ
แพรอักษร

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

~*สายลมรัก*~


/มองลมโบกพลิ้วไหวใจเหน็บหนาว
พัดแผ่วผ่าวเหมือนคราวผู้บ่าวอ้อน
ก่อนเคยเคียงคู่มั่นหมั่นอาทร
ทั้งคอยผ่อนร้อน-เย็นเป็นประจำ

/แม้วันเคลื่อนเดือนคล้อยไม่ลอยใกล้
สองเราสัญญาใจใช่ต้องย้ำ
ผูกสมัครรักใคร่ไม่เปลี่ยนคำ
ขอดื่มด่ำแสงจันทร์กลั่นสำเนียง

/จะมั่นคงซื่อตรงในดงรัก
ทุกข์-สุขจักแบ่งเบาเราไม่เลี่ยง
ยามคืนหนาวก่อไฟให้พอเพียง
นอนฟังเสียงฟืนปะทุกันจุใจ

/ช่วงเดินทางรอนแรมฟ้าแย้มทุ่ง
เกี่ยวสายรุ้งกรวดดินกลิ่นดอกไม้
คอยต่อรักสานพจน์รดสายใย
ตอนก้าวเดินทางไกลใคร่ปลอบโยน

/ด้วยเพียงหวังจะพ้นทนยิ้มชื่น
ไม่ต้องขื่นกับชีวิตติดหัวโขน
พาดวงใจลอยล่องจากคลองโคลน
ลาทางโน้นมาทางนี้หนีระทม

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๓*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

รุ่งเช้า ศิลาตื่นลุกขึ้นมาเตรียมกล้องจัดเป้และฟิล์มก้าวขาเดินออกไปหามารดาที่ห้องครัวเพื่อขอชุดปิคนิคขนาดย่อมๆก่อนเข้าไปอาบน้ำเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ไปโทรศัพท์หาเพื่อนระหว่างรตากับปภาวดีและถามว่าใครพร้อมแล้วบ้าง จะได้แวะถูกไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคอย
เมื่อลงมาข้างล่างเห็นหลังมารดาไหวๆ ที่ประตูมารดาคงจะเดินไปส่งบิดาที่รถเหมือนเช่นทุกวัน แต่ศิลาก็เดินออกไปดู
ไม่มี...!
ขยี้ตาแรงแล้วมองใหม่...
เหมือนเดิม


หายไปไหน..!?
ทำไมมารดาเดินเร็วนักสายตาเธอก็จับที่ร่างของมารดาตลอดเวลานี่นา ไม่น่าจะหายไปเร็วนักศิลาโคลงศีรษะไปมาแววตาฉงนแต่ก็เดินกลับเข้าไปด้านใน ตรงเข้าห้องครัวและเห็นมารดายืนล้างผักสดที่อ่าง ด้านข้างซ้ายมือถัดจากซิ้งล้างเป็นหม้อหุงข้าวและตะกร้าปิกนิกใบย่อมวางอยู่พร้อมอาหารวางเรียงในกล่องน่าทาน
ศิลาเดินเข้าไปโอบเอวมารดาไว้หลวมๆเอียงหน้าซบกับไหล่ท่านอย่างรักใคร่
“คุณแม่..น่ารักที่สุดเลยขอบคุณค่ะ”หล่อนยกศีรษะขึ้นตั้ง แล้วยื่นหน้าจุ๊บแก้มมารดาเบาๆ  “จุ๊บ”
คุณมารศรีหันมายิ้มให้ลูกสาว  “ประจบจะเอาอะไรจ้ะ? เด็กคนนี้”ถามกลับด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้า
ศิลาไม่พูดอะไร แต่เฉพูดไปถึงบิดา  “คุณพ่อไปทำงานสายหรือคะวันนี้หนูเห็นคุณแม่เพิ่งเดินไปส่งเมื่อกี้”
คุณมารศรีชำเลืองมองมาทางลูกสาวแวบหนึ่ง “หนูละเมอหรือไงลูก..คุณพ่อออกไปเกือบชั่วโมงแล้ว และแม่ก็อยู่แต่ที่ในครัวนะยังไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ศิลาสะดุ้งในใจอ้าปากค้างดวงตากลมโตด้วยความคลางแคลงสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร
“วันนี้จะไปไหนกันหรือจ้ะกลับมืดหรือเปล่าลูก? ”คุณมารศรีถามเพราะลูกสาวออกจากบ้านติดต่อกันสองวันแล้ว
“คงเย็นๆ นะคะแม่ศิลามีนัดกับปภาวดีและเพื่อนอีกสองคน เรามีเรื่องคุยกันตามประสาสาวน้อยน่ะค่ะ”พูดแล้วก็ยิ้มหวานให้มารดาเช่นเคย
มารดายิ้มและมองลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาอ่อนโยน  “เห็นคุณพ่อบอกว่าจะไปหาพี่มณีนะพรุ่งนี้หนูไปด้วยไหมจ้ะ? หรือจะอยู่บ้าน  !”ถามหยั่งเชิง
“ขอหนูคิดดูก่อนนะคะแม่กลับมาเย็นนี้จะให้คำตอบค่ะ”ก้าวขายืนเอียงตัวเข้าไปดูนาฬิกา “หนูไปก่อนนะคะ เดี๋ยววดีจะคอยค่ะ”ยื่นหน้าไปจูบแก้มมารดาอีกรอบไม่ลืมคว้าตะกร้าอาหารติดมือไปด้วย
ครอบครัวศิลามีกันสี่คนมีพี่สาวชื่อว่ามณีอีกคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ไปเรียนแพทย์ในเมืองและเช่าหอพักอยู่ในรั้วมหาลัย เหตุผลที่ต้องอยู่ที่นั่นก็เพราะเรียนหนักมากและจะกลับมาบ้านส่วนน้อย บางครั้ง ก็ต้องไปหาพี่สาวที่หอเองหากคิดถึงและนานเกินไป
ใช้เวลาไม่มากนักศิลาก็มาถึงหน้าบ้านปภาวดีที่ออกมายืนรอเพื่อนอยู่แล้ว
“รอนานไหมวดี?”ถามเพื่อนเมื่อเปิดประตูเข้ามานั่งเรียบร้อย
“ฮื่อ..ไม่เลย คว้ากล่องผลไม้กะจะเดินออกมาดูเธอก็ขับรถมาพอดีนี่ล่ะจ้ะ เธอรองท้องอะไรมารึยัง? ”ตอบและถามกลับบ้าง
“เรียบร้อย..เธอล่ะ?”หันไปมองเพื่อนเห็นอมยิ้มก่อนพยักหน้า “ไม่น่าถามเลยฉัน”และทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“ไปหารตาเลยนะ”บอกเป้าหมายต่อไป
เมื่อแวะรับจนครบแล้วทั้งหมดก็มุ่งตรงไปที่โรงเรียนเป้าหมายต่อไปคือ บ้านของลุงจำเริญภารโรงประจำโรงเรียนนั่นเอง
ศิลาจอดรถไว้ด้านหน้าที่จอดประจำของครูประจำชั้น แล้วทั้งสี่ก็เดินเลยไปทางด้านหลังโรงเรียนซึ่งเป็นบ้านของลุงจำเริญที่แยกห่างออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตร เมื่อทั้งสี่ไปถึงเห็นลุงกำลังนั่งเล่นกับหลานสาวตัวน้อยบนแคร่ด้านหน้า หมาเมื่อเห็นเด็กสาวทั้งสี่ก็กระดิกหางเดินไปหาด้วยความคุ้นเคย
“อ้าว..! มาได้ยังไงละเนี๋ย หืม! ”แกถามด้วยความฉงน เพราะไม่ค่อยมีเด็กมาช่วงเวลาปิดเทอมก็นึกแปลกใจ เมื่อรับไหว้จากเด็กๆ
“สวัสดีค่ะลุงจำเริญ คือว่าพวกหนูอยากจะขอยืมกุญแจของปีสองห้องเอหน่อยนะค่ะลุงพอดีรตาเขาลืมเอาสมุดรายงานกลับ กลัวจะไม่ได้ทำเพราะโรงเรียนใกล้จะเปิดแล้วเขาเลยชวนมาเป็นเพื่อนค่ะ”ปภาวดีพูดไปเป็นตุเป็นตะไม่สนใจว่ารตาเพื่อนรักจะเหยียบที่เท้ายังไงแต่พยายามชักเท้าที่เพื่อนเหยียบเอาไว้ออกด้วยสีหน้ายุ่งๆพร้อมกับปากที่ขมุบขมิบโดยไร้สรรพเสียง
“อ้าว..! แล้วกัน ทำไมขี้ลืมจังหนูรตา เดี๋ยวนะลุงจะไปหยิบมาให้”ลุงจำเริญกระเตงแม่หนูใส่เอวเมื่อลุกขึ้น แกหายไปสักครู่ก็เดินออกมาที่แคร่หน้าบ้านพร้อมกุญแจ
“อะ นี่ดอกนี้ ได้แล้วก็เอากุญแจมาคืนลุงนะอย่านานนักล่ะ มันผิดระเบียบ”แกกำชับอีกครั้งก่อนจะยื่นกุญแจให้ปภาวดีหัวหน้าชั้น
ทุกคนเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้งแต่เป้าหมายเปลี่ยนเป็นบันไดขึ้นชั้นเรียนแทนรถยนต์ศิลาหยิบกล้องออกมาเตรียมไว้แล้ว และเริ่มถ่ายตั้งแต่บันไดทางขึ้นไปเรื่อยๆ ช้าๆแทบจะทุกจุดเลย
แช๊ะ แช๊ะ...!
“เตรียมฟิล์มมาเยอะหรือเปล่าศิลา? ”ปภาวดีถามเมื่อเห็นเพื่อนถ่ายเอาๆ
“สิบม้วนวดี เธอว่าพอไหม? ”คราวนี้ถามเหมือนปรึกษา
“ฮื่อ..น่าจะพอ”คาดเดาเมื่อคิดว่าฟิล์มม้วนหนึ่งสามสิบหกภาพเมื่อคูณสิบก็น่าจะพอ
วีรนุชมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย  เพราะผีถ้วยแก้วเอย วิญญาณพเนจรเอยภาพถ่ายติดวิญญาณอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นเคยนึกว่ามีแต่ในทีวีและหนังสือเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัวเองเลย
ศิลายกมือพนมขึ้นเหนืออก ปากขมุบขมิบ
สาธุหากวิญญาณของคุณนิลนาถยังอยู่ที่ห้องนี้ ได้โปรดปรากฏร่างด้วยเถอะ...!

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๒*****


ความเดิมตอนที่แล้ว

นิลนาถตายแล้ว..!
มือสองข้างพาดไปบนโต๊ะใบหน้าที่ตะแคงข้างนั้นซีดขาวเผือดน้ำลายหยดย้อยออกมาเปื้อนเต็มแก้มและเส้นผมที่ปรกหน้ากลิ่นน้ำย่อยลอยออกมากับน้ำลายเหนียวอย่างคนสุขภาพไม่ดีคลุ้งไปทั่วห้อง


ตั้งแต่วันนั้นมาริญลดาก็เห็นวิญญาณอยู่บ่อยๆ จนเกือบจะเป็นโรคประสาทพ่อกับแม่เขาก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่น
ครั้นเรียนจบริญลดาก็ได้ทำงานให้กับบริษัทฯ แห่งหนึ่ง แต่ทำได้ไม่นานเธอก็มาจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุลื่นล้ม ศีรษะฟาดกับขอบอ่าง แต่ทีน่าสังเกตคือดวงตาที่เบิกโพลง และยังค้างอยู่ไม่ยอมปิด เธอตกใจอะไร?แต่ทุกคนก็หาสาเหตุไม่ได้”ปิ่นมณีเล่ามาถึงตรงนี้ด้วยน้ำเสียงละห้อยมือคว้าแก้วเครื่องดื่มบนโต๊ะมาจิบ
“งั้นก็แสดงว่า  วิญญาณคุณนิลนาถก็ยังอยู่ที่โรงเรียนนะสิคะ?”ศิลาถามอย่างคนช่างสังเกต แล้วยกนาฬิกาดูเวลาที่ปาเข้าไปค่อนบ่าย
“เอ่อ..! พวกหนูรบกวนเวลาของพี่มาพอสมควรแล้วต้องขอบพระคุณข้อมูลเพิ่มเติมและเครื่องดื่มมากๆ นะคะขอถือโอกาสนี้ลาเลยแล้วกันค่ะ สวัสดีค่ะพี่”ปภาวดียกมือไหว้พร้อมทั้งเอ่ยออกมาหลังจากที่เห็นเพื่อนดูนาฬิกาที่ข้อมือ และเจ้าของบ้านเงยหน้ามองข้างฝา
“จ้ะพี่ปิ่นก็มีธุระเหมือนกัน แล้วพวกเรามากันยังไงนี่?”ถามกลับบ้าง
“ศิลาเอารถมาค่ะแต่จอดหน้าปากซอยนี่เองพวกเราลากันอีกครั้งนะคะ”ทั้งหมดยกมือไหว้เจ้าของบ้านสาวอีกครั้งเมื่อเธอเดินมาส่งที่ประตู

-----------
เมื่อนั่งมาในรถทุกคนต่างก็เงียบ จนศิลาเอ่ยออกมา“ฉันว่าวิญญาณของคุณนิลนาถต้องอยู่ที่โรงเรียนและโต๊ะที่สี่ริมหน้าต่างตัวนั้นแน่ๆ”
“พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดีล่ะ?”รตาโพล่งถามมาบ้าง
“ขืนปล่อยไว้ไม่ดีแน่ๆเลย”ปภาวดีบอก
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วหันไปทางวีรนุชที่นิ่งเงียบไม่ออกความเห็นใดๆ
“วี..! เธอคิดว่าไง? ”ศิลาถามตรงๆ
วีรนุชชำเลืองมองตอบเพื่อนๆที่กำลังรอฟังคำของหล่อน “พวกเธอไม่กลัวจะเจออะไรที่มันแปลกๆเหมือนคุณริญลดาบ้างหรือ?”สีหน้านั้นครุ่นคิดด้วยความกังวล
“งั้นเราต้องเรียกหมอผีมาทำการขับไล่วิญญาณออกไปแต่เราต้องหาหลักฐานก่อนว่า ในโรงเรียนของเรามีวิญญาณคุณนิลนาถยังวนเวียนอยู่จริงๆแล้วให้เพื่อนๆ ช่วยดู และเป็นพยาน”ศิลากล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบเหมือนครุ่นคิดอย่างหนัก  ก่อนจะนำรถเข้าจอดข้างทางมือขาวบอบบางดีดเข้ากัน
“ป๊อก...! ได้การแล้ว”อุทานเสียงดัง เรียกความสนใจจากเพื่อนๆ
“อะไรหรือศิลาคิดอะไรออก”รตาถามด้วยความตื่นเต้นด้วย
“เราต้องถ่ายภาพวิญญาณเพื่อเอามาเป็นหลักฐานไง เข้าใจไหม? รูปถ่ายติดวิญญาณนะ”ตอบอย่างตื่นเต้น
“ถ้าเราถ่ายภาพวิญญาณของคุณนิลนาถได้นะอาจารย์จำรูญและทุกๆท่าน คงจะเถียงไม่ออกหรอก”ปภาวดีกล่าวบ้าง
“แล้วเธอคิดว่า มัน จะติดเหรอ? ศิลา”วีรนุชถาม
“วี..เธอไม่เคยได้ข่าวหรือไงที่ภาพถ่ายติดวิญญาณที่เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งไปแล้วน่ะ”ศิลาเท้าความให้เพื่อนที่นั่งมองด้วยดวงตาปริบๆ
“ตกลงตามนี้นะว่าไง ใครจะคัดค้านบ้าง?”ถามความเห็นกันอีกรอบสายตาจับไปที่ใบหน้าทีละคนช้าๆเมื่อสรุป
“งั้นพรุ่งนี้แปดโมงเราจะแวะรับเหมือนวันนี้เราจะไปหาลุงจำเริญเพื่อขอกุญแจ บอกลุงว่า เรามาเอาของที่ลืมไว้ด้วยกัน”ศิลากล่าวปิดท้ายก่อนจะเข้าเกียร์ออกรถขับต่อไปส่งเพื่อนๆ
“เดี๋ยววีรนุชก่อนแล้วตามลำดับบ้านใครใกล้เช่นเคยนะ”ปภาวดีบอกแทนเพื่อนคนขับ
-------------
รุ่งเช้าศิลาตื่นลุกขึ้นมาเตรียมกล้องจัดเป้และฟิร์ม ก้าวขาเดินออกไปหามารดาที่ห้องครัวเพื่อขอชุดปิกนิดขนาดย่อมๆก่อนเข้าไปอาบน้ำเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ไปโทรศัพท์หาเพื่อนระหว่างรตากับปภาวดีและถามว่าใครพร้อมแล้วบ้างจะได้แวะถูก ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคอย
เมื่อลงมาข้างล่างเห็นหลังมารดาไหวๆ ที่ประตูมารดาคงจะเดินไปส่งบิดาที่รถเหมือนเช่นทุกวัน แต่ศิลาก็เดินออกไปดู
ไม่มี...!
ขยี้ตาแรงแล้วมองใหม่...
เหมือนเดิม

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๑*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

นิลนาถเมื่อได้เพื่อนก็ดีใจมากรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาโรงเรียนทุกวัน ช่วงแรกๆก็ดีหรอกแต่พอนิลนาถไม่มาวันเดียว
ริญลดาก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม บวกกับความที่เป็นคนร่าเริงเข้ากับใครๆ ได้ดี มีสัมมาคารวะ ริญลดาจึงมีเพื่อนเยอะ 
พอนิลนาถมาโรงเรียนและรู้ว่าริญลดามีเพื่อนใหม่ ก็คอยแต่จะรั้งริญลดาให้ไปโน่นมานี่กับตัวเองจนริญลดาเริ่มเบื่อ
ความ หวงแหนเพื่อน และกลัวว่าจะเสียเพื่อนไป ทำให้นิลนาถคอยตามติดริญลดาทุกฝีก้าวจนริญลดารำคาญมากขึ้นตามลำดับ ถึงคราวทนต่อไปไม่ไหว


“นาถ  ! ขอร้องนะ อย่ามาตามเกาะติดฉันมากนักเลย ให้ฉันได้มีโอกาสมีเพื่อนคนอื่นๆบ้างเถอะ ฉันจะอยู่กับเธอตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะและตัวเธอเองก็ไม่แข็งแรงพอที่จะไปไหนมาไหนกับฉันได้ เธอต้องพักมากๆไม่ใช่มัวแต่ตามฉันจนลืมดูแลตัวเอง”พูดแค่นั้นริญลดาก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดีแม้นว่านิลนาถจะตามอ้อนวอนยังไงเธอก็ไม่สน
หลังจากวันนั้นนิลนาถก็เริ่มปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อว่าจะได้ไปไหนมาไหนกับริญลดาได้เธอพยายามไม่เข้าเรียนสาย ชั่วโมงพละก็จะลงไปร่วมด้วยเสมอไม่ฟังใครแม้อาจารย์จะบอกให้ไปพักที่ห้องพยาบาล
ผลของการที่ไม่เคยเล่นกีฬาเลยทำให้นิลนาถต้องเข้าโรงพยาบาล แต่แทนที่เธอจะนอนโรงพยาบาลเธอกลับมาโรงเรียนเสียอย่างนั้น พี่ว่า เธอคงกลัวจะโดนแย่งเพื่อนเลยกัดฟันออกจากโรงพยาบาลและยังคงตามริญลดาไม่ห่าง
“วันนี้กลับพร้อมกันนะลดา”นิลนาถเดินไปหาริญลดาที่โต๊ะด้วยใบหน้าซีดเซียวแม้ว่าจะพยายามฝืนยิ้มก็ยังเห็นถนัดตา
“เอ่อ..”ริญลดาพูดไม่ออกเพราะตกใจกับท่าทีของเพื่อนที่หวงแหนตัวเธอเอามากมาย
วันนั้นช่วงเช้าผ่านไปโดยไม่มีอะไร
แต่พอชั่วโมงที่๕  ซึ่งเป็นชั่วโมงพละเธอก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ลงมานั่งรอที่ขอบสนามด้วย วันนั้นเป็นคิวของวอลเลย์บอลและเธอก็ขออาจารย์ลง
“นี่ลดา..!เธอไปห้ามนาถเขาดีกว่า จริงๆ ให้ไปนอนโรงพยาบาลได้ก็ดีนะหน้าซีดยังกับไก่ต้มขนาดนั้น”เพื่อนๆ ในห้องต่างก็เห็นด้วยว่าริญลดาสมควรจะไปห้าม
“ช่างเขาสิในเมื่อเขาไม่รักตัวเอง และสมัครใจที่จะเล่น”ริญลดาพูดอย่างไม่แคร์
เมื่อชั่วโมงที่  ๕ ผ่านไป เริ่มเข้าชั่วโมงที่ ๖อาการป่วยของนิลนาถเริ่มออก เธอนั่งก้มหน้ากัดฟันนิ่งแต่ร่างกายนั้นสั่นสะท้านจนไหล่ไหว เพื่อนๆบางคนเริ่มหันมามองบ่อยขึ้นอาจารย์ก็หยุดการสอนและเดินมาที่โต๊ะ
“นิลนาถไหวรึเปล่า? ครูว่าเธอควรไปพักที่ห้องพยาบาลนะ”น้ำเสียงบอกความกังวลและห่วงใยของอาจารย์ทำให้นิลนาถเงยหน้าขึ้นตอบ
เท่านั้น...!
ดวงตาของทุกคนเบิกค้าง เมื่อเห็นหน้านิลนาถชัดๆ ใบหน้าที่ไร้สีเลือดฝาดเจือปนมีแต่ความขาวซีดเคลือบอยู่ทั่วแทน
“ม่ะไม่ค่ะ หนูไม่เป็นไร”เสียงที่ตอบขาดเป็นห้วงๆ สั่นๆ เหงื่อชุ่มผุดตามหน้าผากมน นิลนาถพยายามอดทนแม้จะทรมานพลางพลิกข้อมือดูนาฬิกาโดยไม่สนใจสายตาของใคร 
อาจารย์เดินกลับไปหน้าห้องสอนต่อ
‘อา..! จวนแล้วจวนจะหมดชั่วโมงเรียนแล้ว’
บอกตัวเองซ้ำๆซากๆ อย่างอดทน แต่ยังไม่ทันหมดชั่วโมงเรียนดีนิลนาถก็ฟุบหน้าลงกับหนังสือบนโต๊ะที่กางอยู่ 
แกรก...
ตุ๊บ..
เสียงปากกาตกจากมือลงสู่พื้นร่างบางสั่นน้อยๆ แต่ไร้สรรพเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“นิลนาถ...อาจารย์คะ  ! นิลนาถ? ”ตอนนั้นพี่ตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกเรียกอาจารย์เสียงดัง มือก็จับไปที่ตัวของนาถอย่างกลัวๆ
“นิลนาถ..”เสียงอาจารย์เรียกพร้อมสาวเท้ามาอย่างเร็ว  “ช่วยกันพาไปห้องพยาบาลเร็ว”สั่งไม่ทันจบหัวหน้าห้องกับเพื่อนอีกคนจะขนาบข้างพยุงปีกพาออกไป 
แต่..!
“ม่ะไม่ค่ะอาจารย์ หนะหนูไม่ อยาก จาก ตรง นี้ ไป ไหนค่ะ ให้ หนู อยู่ ตรง นี้ ต่อ นะ คะหนู ไม่ อยาก อยู่ คน เดียว”น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูกระท่อนกระแท่นเต็มทีมันแผ่วเบา แหบโหยอย่างน่าสงสาร
ท่ามกลางความตกใจของเพื่อน
“ไม่ได้ใครก็ได้ ไปเรียกหมอมาเร็ว รถพยาบาลด้วยนะ
สิ้นเสียงของอาจารย์ก็เกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อยเมื่อร่างของนิลนาถสะอึกจนใบหน้าและลำตังกะตุกขึ้น
และแล้ว..นาทีนั้นที่ร่างบางก็ทรุดลงไปอย่างสิ้นเรี่ยวแรงตอนนั้นนาทีนั้น
นิลนาถตายแล้ว..!
มือสองข้างพาดไปบนโต๊ะใบหน้าที่ตะแคงข้างนั้นซีดขาวเผือดน้ำลายหยดย้อยออกมาเปื้อนเต็มแก้มและเส้นผมที่ปรกหน้ากลิ่นน้ำย่อยลอยออกมากับน้ำลายเหนียวอย่างคนสุขภาพไม่ดีคลุ้ง

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

เพ้อ..


/เมื่อตะวันเริ่มคล้ำสีดำทาบ 
ท้องฟ้าฉาบเมฆน้อยมาลอยใกล้ 
สิ่งที่ฉันอยากทำทุกค่ำไป
 คือ..คิดถึงคนไกลใฝ่ละเมอ

/ยามนี้เธอนั้นรู้อะไรไหม 
ถ้าหากว่าเป็นได้ใคร่เสนอ
 ขอเป็นนกบินล่องเกาะห้องเธอ
 ให้ตัวเพ้อจืดจางลงบางวัน

/ป่านนี้เธอคงนอนพักผ่อนแล้ว
 ไม่รับรู้คำแว่วดังแถวนั้น
 มีคนเอ่ยว่ารักฝากแสงจันทร์ 
ในบันทึกสร้อยฝันแอบกลั่นเรียง

/กับถ้อยคำแสนงามยามเอ่ยเอื้อน
 ดั่งเสมือนได้บอกออกน้ำเสียง
 เป็นแฟนพันธ์แท้จริงอิงสำเนียง 
เฝ้าคิดเพียงเท่านี้มีสุขพอ

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๐*****

ความเดิมตอนที่แล้ว


ในที่สุดก็ปิดเทอม
ศิลาเอ่ยปากชวนปภาวดีและรตามาที่บ้านวีรนุชแต่เช้าซึ่งทั้งหมดก็เริ่มพุ่งเป้าไปที่บ้านเกิดของนิลนาถซึ่งอยู่ไปอีกหมู่บ้านไม่ไกลกันนัก

ทั้งสี่มาถึงหมู่บ้านที่นิลนาถเคยอยู่และจอดรถเดินดูบ้านเลขที่ๆจดมาจนเจอ

ปภาวดีก้มๆ ส่ายตัวมองเข้าไปภายใน เหมือนจะไม่มีคนอยู่เห็นป้าข้างบ้านออกมาจึงยกมือไหว้แล้วถาม

“สวัสดีค่ะคุณป้า เอ่อ..นี่ใช่บ้านของคุณนิลนาถปานน้อยไหมคะ? ”



หญิงชราเงยหันมามองพวกเด็กๆ ด้วยความแปลกใจ แววตาครุ่นคิด

“อ้อ..! หนูนาถหรือ? ก็รู้จักนะ”ท่านพยักหน้ารับ  “พวกหนูมีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่า?”ถามกลับไปบ้าง

ปภาวดีมองหน้าเพื่อนๆ ก่อนจะตอบว่า “คือพวกหนูอยากจะทราบว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหนน่ะค่ะคุณป้า”

“หรือจ้ะ..! งั้นเข้ามาก่อนสิ”เมื่อถามไถ่กันสักครู่ก็ถอดสลักประตูให้เด็กทั้งสี่เข้าไปนั่งที่โต๊ะม้าหิน  “เอ้าๆ นั่งก่อนๆ เดี๋ยวป้าจะเอาน้ำมาให้”

แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ ศิลาก็จับท่านไว้ “อุ๋ย..! อย่าลำบากเลยค่ะ พวกหนูดื่มแล้วเข้ามานี่ล่ะค่ะคุณป้าอยากจะรบกวนคุณป้าช่วยเล่าเรื่องของคุณนิลนาถให้ฟังหน่อยสิคะ”เมื่อพูดออกไปแล้วศิลาก็เตรียมหาคำตอบเสริมไว้ในสมอง เพราะท่านคงสงสัยว่าพวกเธออยากรู้ไปทำไม

“พวกหนูรู้จักหนูนาถด้วยหรือ? คนล่ะรุ่นกันนี่? ”ป้าตาบตั้งข้อสังเกต

“ค่ะคุณป้า คนล่ะรุ่นกันค่ะแต่ว่าพวกหนูเรียนห้องเดียวกับคุณนิลนาถน่ะค่ะ”รู้ว่าคำตอบไร้เหตุผลไปหน่อยกลัวเหมือนกันว่าป้าเขาจะไม่เชื่อและยอมเล่า

แต่..ผิดคาด เมื่อท่านพยักหน้า

“จริงๆ หนูนาถ อยู่กับพ่อสองคน เพราะแม่กับพ่อแยกทางกัน ช่วงหลังมาพ่อเขาทำธุรกิจล้มเหลว เป็นหนี้เป็นสินมากมาย เจ้าหนี้เปลี่ยนหน้ามาทวงกันทุกวัน บวกกับช่วงหลังๆ มานี่ดื่มหนักไปหน่อยและไม่ค่อยสนใจลูกสาวเท่าที่ควร เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ พ่อเขาก็ขายบ้านให้ป้าแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น ป้าไม่รู้ว่า พวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่ได้ข่าว มาเรื่อยๆ ว่า หลังจากพ่อเขาฆ่าตัวตาย แม่ก็มารับไปอยู่ด้วย แล้วนำเงินที่ขายบ้านนั่นแหละรักษาตัวหนูนาถ ที่ป่วยออดๆ แอดๆ มานาน แถมเข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้ ทั้งสองไม่ค่อยกลับบ้านตรงเวลานัก แกคงเหงานะป้าว่า  เฮ้อ..! ”เล่ามาถึงตรงนี้ป้าตาบก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความสลด

ทุกคนมองหน้ากันด้วยดวงตาละห้อย นั่งคุยอีกสักพัก ก็ยกมือไหว้ขอตัวกลับ แต่ศิลาอยากรู้เรื่องจากปากเพื่อนร่วมชั้นของนิลนาถอีก

“ปภาวดี เธอคิดเหมือนฉันไหม? จริงๆเราน่าจะลองไปหาเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งคู่กับรุ่นพี่ตามที่เราจดกันมาเถอะเผื่อได้เบาะแสมากกว่าของคุณป้าเมื่อกี้ก็ได้นะ ดีไหม รตา วีรนุช? ”เอ่ยปากบอกเพื่อนตามที่ใจคิด

ปภาวดีพยักหน้ารับก่อนจะดูรายชื่อที่กระดาษในมือ “งั้นเราพุ่งไปหาคุณปิ่นมณีเพราะพี่เขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ถัดไปอีกสองซอย”

ทั้งหมดเดินไล่ตามซอยและบ้านเลขที่ของรุ่นพี่เพื่อนของนิลนาถจนเจอ

ติ๋งต๋อง..

มีผู้หญิงผมบ๊อบใส่ชุดแซกสวมแว่นเดินมามองหลังผ้าม่าน และเปิดประตูออกมา

“มาหาใครคะน้อง? ”เสียงถามบอกความฉงนเล็กน้อย

“สวัสดีค่ะ พวกเรามาหาคุณปิ่นมณี รังสรรค์  นะค่ะ ไม่ทราบว่าอยู่ไหมคะ?”ทุกคนยกมือไหว้เจ้าของบ้านสาว และปภาวดีก็บอกเจตจำนงในการมาของครั้งนี้

“อ้อ..! พี่เองแหละน้อง”ตอบรับแล้วเดินมาที่ประตู  “เรารู้จักกันด้วยเหรอ? มาจากไหนล่ะนี่?”ถามด้วยความสงสัยและยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษที่ศิลายื่นส่งให้เมื่ออ่านแล้วก็เงยหน้ามองทั้งสี่อีกครั้ง “มาๆ งั้นเข้ามาก่อนสิ”

ศิลาหันมองเพื่อนๆ ที่พยักหน้าให้เข้าไป

ทั้งสี่เดินตามปิ่นมณีเข้าไปนั่งที่ห้องรับแขกปภาวดีทำหน้าที่แนะนำเพื่อนๆและตัวเองบอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้อย่างล่ะเอียด ปิ่นมณีนั่งฟังสักครู่ ก็ลุกขึ้นไปรินน้ำโดยมีรตาตามไปยกมาเสิร์ฟเพื่อนด้วย

“เอาล่ะ พี่เล่าให้ฟังเท่าที่รู้นะจ้ะ”ปิ่นมณีออกตัวก่อน

“เริ่มแรกที่เห็นนาถนั้น เพราะเราได้นั่งคู่กันในชั้นปีสอง จริงๆเขาเป็นคนร่างกายอ่อนแอ ขาดเรียนบ่อย บางทีก็มาเรียนสาย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนๆรังเกียจและไม่ค่อยมีใครอยากคบ พ่อเขาช่วงนั้นไม่ค่อยเอาไหน

บริหารธุรกิจก็ล้มเหลว เลยกินแต่เหล้าชอบโกหกหลอกลวง เล่นการพนัน คนแถวนี้ตอนนั้นไม่มีใครชอบหรอกต่างก็บอกลูกหลานของตัว เพื่อนๆ ก็พลอยรังเกียจนาถไปด้วย บางคนก็แกล้งต่างๆ นาๆนาถเลยกลายเป็นคนเก็บตัวอยู่คนเดียว

เวลามาเรียนก็ชอบซุกร่างกับโต๊ะเรียนนั่นแหล่ะ พี่ว่าเธอเป็นคนโดดเดี่ยวมากนะพอดีมานั่งคู่กับพี่ที่เป็นคนไม่ชอบคุยก็ยิ่งแล้วใหญ่ และช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝนมีนักเรียนย้ายเข้ามาพอดี
เอ..ชื่ออะไรแล้วนะ?

อ้อ..! ใช่แล้ว ริญลดา  สุดใจ ตอนแรกๆ ที่ริญลดาเข้ามานั้นยังไม่ค่อยจะมีเพื่อนนะเลยคบกับนิลนาถอย่างสนิทสนม ทั้งสองตัวติดกันเหมือนปาท๋องโก๋ จนแทบแยกกันไม่ออก

นิลนาถเมื่อได้เพื่อนก็ดีใจมาก รีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาโรงเรียนทุกวัน ช่วงแรกๆก็ดีหรอก แต่พอนิลนาถไม่มาวันเดียว ริญลดาก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม บวกกับความที่เป็นคนร่าเริงเข้ากับใครๆ ได้ดี มีสัมมาคารวะ ริญลดาจึงมีเพื่อนเยอะ พอนิลนาถมาโรงเรียนและรู้ว่าริญลดามีเพื่อนใหม่ ก็คอยแต่จะรั้งริญลดาให้ไปโน่นมานี่กับตัวเองจนริญลดาเริ่มเบื่อ

ความหวงแหนเพื่อน และกลัวว่าจะเสียเพื่อนไป ทำให้นิลนาถคอยตามติดริญลดาทุกฝีก้าวจนริญลดารำคาญมากขึ้นตามลำดับ ถึงคราวทนต่อไปไม่ไหว


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

~* สุสานคนช้ำ *~


/เมื่อครั้งวันที่เรานั้นแยกทาง
เธอนำเหตุผลอ้างวางไว้ให้
เป็นข้อความของคนคิดจากไป
ต้องพยายามฝืนใจทนรับฟัง

/แม้ในทรวงเร่าร้อนตะกอนขุ่น
หัวใจที่เคยอุ่นวุ่นไร้หวัง
ชีวิตแหลกแตกหักรักพ่ายพัง
จ่อมจมกับความหลังหลอนทั้งคืน

/เตียงนอนคู่ หมอนข้างวางที่เก่า
ภาพความงามสองเราเฝ้าหยิบยื่น
ทุกซอกหลืบหัวใจให้กล้ำกลืน
แสนขมขื่นหนาวเหน็บเก็บภาพเธอ

/ยากจะตัดให้ขาดสวาทหวาน
ด้วยวิมานร่วมสร้างร่างเสนอ
เหลือน้ำหอมเจือจางห่างกายเธอ
ลมหายใจยังเพ้อเสมอมา

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

๐๐๐ในโลกแห่งความฝัน๐๐๐


/ในโลกฝันแสนงามยามดื่นดึก
พานจะนึกถึงอกอุ่นเคยหนุนผิง
ยามเพลงหวานลอยล่องทำนองอิง
หลับตานิ่งพิงหลังทุกครั้งมา

/อยากจะฝากสายลมให้โหมซัด
เมื่อไกวกวัดช่วยกล่าวเรื่องราวฟ้า
ฉันจะหอบดอกฝันอีกครั้นครา
ตระเตรียมมาให้เธอเพ้อรัญจวน

/นั่งรำพึงคิดถึงคนไกลหน้า
เสน่หาไม่เลือนดุจเดือนผวน
ทุกคืนค่ำเย้าหยอกม่านหมอกครวญ
ความอบอวลทวนลมอารมณ์ดี

/ฝากสายลมพัดโบยโรยยามหนาว
กลิ่นรวงข้าวลอมฟางไม่ห่างนี่
คิดถึงหน้าหยาบกร้านนานเจอที
ดวงฤดีซาบซ่าน..หวานจนอาย

/จะจำได้หรือเปล่าเล่าตอนนั้น
ที่บอกมั่นสัญญาหรือว่าหาย
ทุกคำโยงผูกพันกันมิคลาย
มากความหมายเชื่อไหมไม่เคยจาง

~* พิษรัก *~


/สายสัมพันธ์วันเก่าเราร่วมสร้าง
ดูไม่ต่างโซ่ตรวนชวนผวา
ตัดไม่ขาดจากฝันทั้งสัญญา
กายอ่อนล้ายากเพลินเมื่อเดินไป

/ทอดตาสองมองเหม่อเธอเดินจาก
คนรักมาหนีพรากเกินอยากใกล้
น้ำตาหยาดรินหลั่งสุดรั้งใจ
กับพิษไข้โลมเร้าพุ่งเข้าทรวง

/ได้แต่หวังสักวันจะผันผ่าน
ทุกข์คืบคลานคงหายคลายหนักหน่วง
แต่ว่าฝันก่อนเก่าก็เฝ้าลวง
จนกาลล่วงเลยไกล.หาได้คืน

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เพื่อน...



๐ขอบคุณที่เดินเข้ามาทักทาย
เป็นเพื่อนใจเพื่อนกายในทุกฝัน
ยามท้อแท้สิ้นหวังแม้ห่างกัน
ยังปลอบขวัญร่วมปันกำลังใจ


๐เพียงแค่คนผ่านมาเวลาว่าง
เพื่อแวะสร้างทางฝันยามหวั่นไหว
จึงขอเยือนเพื่อนพ้องพี่น้องใน
ใช่ทำไขมาอ้อนป้อนกลอนกานท์


๐โปรดรู้ไว้เธอมีฉันเป็นเพื่อน
จะคอยเตือนเธอให้ลุกขึ้นขับขาน
คอยเช็ดเหงื่อยามเหนื่อยล้ากับวันวาร
คอยนวดต้านยาเยียวช่วงเหี่ยวโรย


๐เป็นอย่างไรกันบ้างคนทางนั้น
เพื่อนนำสุขมาปันตอนฝันโหย
เอาใจน้อมล้อมรักถักมาโปรย
จะคอยโรยเติมพลังไปฝั่งเธอ


๐มีดอกรักโปรยปรายกับสายฝน
ที่ร่วงหล่นสู่พื้นมาเสนอ
ฝากให้เพื่อนได้ฝันและละเมอ
เผื่อจะเพ้อด้วยกลอนอ้อนสำเนียง. 

~*ทะเลครวญ*~




๐คลื่นทะเลชายฝั่งคลั่งริมหาด
ดูสะอาดแต่ฟ้าหม่นปนความหลัง
รอยทรายเลื่อนเกลื่อนกราดวาดภวังค์
เรานั้นนั่งมองดูอยู่ไกลไกล

๐มีรูปหินดาวตกหมกทรายอยู่
ไม่รับรู้ความระทมถมเคียงใกล้
ไม่สนใครหน้าไหนผ่านเลยไป
อยู่อย่างไร้แสนเดียวดายท่ามสายลม

๐ยามคลื่นครวญหวนซัดสาดเข้าหา
มันไม่ร้องไม่นำพาฟ้าจะล่ม
ยืนหยัดสู้ทายท้ากร้านแรงลม
ทะเลข่มห่มหมองคะนองใน

ยามรัก



      
 









    คน เราตอนรักกันใหม่ๆ อะไรๆ ก็ดีไปเสียหมด อย่างคำที่ว่า ยามรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่เมื่ออยู่กันไปนานๆ ความเป็นตัวของตัวเอง กับความเคยชิน ก็เลยทำอะไรบางอย่าง ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะรับไม่ได้ จนถึงขั้นต้องบอกเลิกรากันไป 

   1. เอาแต่ใจตัวเอง 

         เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ทุกคนต้องเอาแต่ใจตัวเองกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าใครจะเอาใจตัวเองมาก หรือน้อยเท่านั้นเองค่ะ บางคนคิดว่าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองน้อย แต่ความจริงแล้วเอาแต่ใจตัวเองมากๆ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลย 

   2. ทำตัวเป็นเจ้าของมากเกินไป 

         การที่คุณแสดงตัวให้ใครต่อใครได้รู้ว่า คุณกับเขาเป็นแฟนกันเนี่ย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่บางครั้งคุณอาจแสดงความเป็นเจ้าของเขาในลักษณะที่เป็นเงาตามตัวกัน เลย เช่น ไปไหนไปด้วย ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ โดยไม่ให้เขามีเวลาส่วนตัวแม้แต่นิดเดียว ก็อาจเป็นปัญหาได้เหมือนกัน 

   3. หึงแบบไร้ขีดจำกัด 

        คงจะห้ามกันได้ยาก เรื่องความหึงเนี่ย แต่ต้องมีลิมิตกันบ้างนะคะ ไม่ใช่ว่าเพื่อนคุยด้วยก็ยังหน้ามืดตามัว หึงขนาดนั้น คงจะไม่ไหว บางคนเข้าขั้นโทรเช็คตลอดเวลา อันนี้น่าเป็นห่วงมากค่ะ 

    4. บอกเลิกทุกครั้งที่ทะเลาะ 

        ส่วนใหญ่จะเกิดจากฝ่ายหญิงซะมากกว่า จริงๆ แล้วก็พูดแค่อยากให้เขามาง้อเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลในช่วงแรกเท่านั้นค่ะ แต่หลังๆ ล่ะก็ เอ้า.. อยากเลิกดีนัก เลิกเลยดีกว่า น้ำตาเช็ดหัวเข่าค่ะ

   5. ไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น 

        ถือ ได้ว่าคุณไม่ได้ให้เกียรติคนที่คุณรักเลย ซึ่งทุกคนก็ย่อมหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง บางครั้งอาจทำเพื่อให้อีกฝ่ายหึงเล่นๆ เป็นการคอนเฟิร์มว่า คุณเองก็มีค่าสำหรับพวกเขา แต่ต้องระวังนะคะ เพราะมองอีกมุม คือคุณไม่แคร์ ความรู้สึกของเขาเลย และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะอยู่ด้วยกันไปทำไม 

ยามรัก


                 ๑

/ตอนมีรักโลกมักจะสดใส
ความห่วงใยใส่ใจมีไปถึง
ทำทุกอย่างเพื่อให้เธอนั้นตราตรึง
ส่งใจซึ้งให้กันฝันเรื่อยมา

/ยิ่งความรักยามชื่นชวนตื่นเต้น
ครั้นไม่เห็นนานนานก็พาลบ้า
ขอเพียงแค่ได้พบรอสบตา
ทุกเวลาไม่มีเบื่อฉันเชื่อเธอ

/พอเนิ่นนานผ่านปีที่ละหนึ่ง
ความคิดถึงเริ่มหายไม่เสนอ
อ้างมีงานยุ่งมากแต่อยากเจอ
เคยพร่ำเพ้อก็จางไม่ย่างมอง

/คงต้องปล่อยแล้วแต่ฟ้าจะลิขิต
ฉันจะไม่นั่งคิดทำจิตหมอง
ต่อแต่นี้พอกันทีรักที่ปอง
จะไม่เอาตัวข้องแนบครองใจ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มนต์แสงจันทร์


/แสงจันทร์นวลยวนใจอยากไขว่คว้า
โอบมาวางตรงหน้าไว้ท้าฝัน
ก่อนหยิบยื่นดอกสร้อยร้อยสัมพันธ์
เป็นสื่อรักใต้จันทร์ที่มั่นเรียง

แพรอักษร ๐๔/๑๑/๕๖

อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกๆท



/สุมาลีคลี่บานเต็มลานสวน
หอมอบอวลชวนดอมถนอมไว้
ทิพากรหย่อนแสงมารำไร
คอยลูบไล้น้ำค้างออกจากซอกกอ

แพรอักษร ๐๙/๑๑/๕๖

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อาวรณ์...



/ฉันเดินหลงเข้าไปในป่าลึก 
เพราะดวงใจตรองตรึกนึกความหลัง 
เมื่อก่อนเก่าเราเดินเพลินกันจัง
ยามนี้หรือ ไร้หวังแต่ยังคอย

/ผ่านลำธารไหลล่องแนบช่องเขา
น้ำตกชุ่มแผ่เงาเทือกเขาย้อย
โดนหนามไหน่เกี่ยวเกาะเจาะเป็นรอย
มีเพียงถ้อยฝากยื่นมาคืนกัน

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

๐๐๐รักทำพิษ๐๐๐

ที่มาของกลอนสำนวนนี้ค่ะ  ขอบพระคุณพี่ดาว อาชาไนย มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะhttps://www.facebook.com/photo.php?fbid=604943249563947&set=a.586233644768241.1073741828.586159148109024&type=1&theater
๐๐ ความรักสีดำ ๐๐

สิ่งได้รับอบอุ่นยังกรุ่นหอม
รักยินยอมยามขอเธอก็ให้
จงถนอมออมรักสลักใจ
หากมีใครขอย้ำหวังซ้ำรอย

โปรดสงวนอย่างสนองคำร้องขอ
เก็บหวานรอเวลาอย่าเหงาหงอย
จะมาชื่นคืนฝนหล่นปรอยปรอย
กอดน้องน้อยยามพบได้สบตา

เธอจะอ้อนกับใครไม่อยากรู้
เธอควงคู่กับใครไม่เคยว่า
เธอแอบฝันกับใครไม่นำพา
เธอสัญญากับใคร...ขอให้คิด

เธอปันรักปันใจแก่ใครบ้าง
ฉันปล่อยวางเสมอ...เธอมีสิทธิ์
ก็ต้องขมขื่นบ้าง...ช่างชีวิต
จะคอยปิดหูให้ไร้เสียงอึง

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หนึ่งในดวงใจ






/ฉันอยากหยุดหัวใจไว้ที่...รัก...
เพราะตระหนักว่าหลากมากความหมาย
คำว่ารักคำเดียวเกี่ยวใจ-กาย
แค่กุมมือเหนื่อยหายได้ทันที

/มันแสนคุ้มเหลือเกินฉันเดินคิด
พรหมลิขิตขีดลงตรงใจนี่
ได้ความฝันเติมต่อก่อชีวี
เมื่อฉันมีเธอน้อมในอ้อมใจ

/ก่อนนี้มันเหมือนทางร้างแสงส่อง
ทรวงยังคล้องเคลือบฝุ่นขุ่นขาดใส
เธอเข้ามาปัญหาหย่อนค่อยผ่อนไป
ฉันมีรักเคียงใกล้ให้อาวรณ์


Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background