Translate

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

~*สายลมรัก*~


/มองลมโบกพลิ้วไหวใจเหน็บหนาว
พัดแผ่วผ่าวเหมือนคราวผู้บ่าวอ้อน
ก่อนเคยเคียงคู่มั่นหมั่นอาทร
ทั้งคอยผ่อนร้อน-เย็นเป็นประจำ

/แม้วันเคลื่อนเดือนคล้อยไม่ลอยใกล้
สองเราสัญญาใจใช่ต้องย้ำ
ผูกสมัครรักใคร่ไม่เปลี่ยนคำ
ขอดื่มด่ำแสงจันทร์กลั่นสำเนียง

/จะมั่นคงซื่อตรงในดงรัก
ทุกข์-สุขจักแบ่งเบาเราไม่เลี่ยง
ยามคืนหนาวก่อไฟให้พอเพียง
นอนฟังเสียงฟืนปะทุกันจุใจ

/ช่วงเดินทางรอนแรมฟ้าแย้มทุ่ง
เกี่ยวสายรุ้งกรวดดินกลิ่นดอกไม้
คอยต่อรักสานพจน์รดสายใย
ตอนก้าวเดินทางไกลใคร่ปลอบโยน

/ด้วยเพียงหวังจะพ้นทนยิ้มชื่น
ไม่ต้องขื่นกับชีวิตติดหัวโขน
พาดวงใจลอยล่องจากคลองโคลน
ลาทางโน้นมาทางนี้หนีระทม

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๓*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

รุ่งเช้า ศิลาตื่นลุกขึ้นมาเตรียมกล้องจัดเป้และฟิล์มก้าวขาเดินออกไปหามารดาที่ห้องครัวเพื่อขอชุดปิคนิคขนาดย่อมๆก่อนเข้าไปอาบน้ำเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ไปโทรศัพท์หาเพื่อนระหว่างรตากับปภาวดีและถามว่าใครพร้อมแล้วบ้าง จะได้แวะถูกไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคอย
เมื่อลงมาข้างล่างเห็นหลังมารดาไหวๆ ที่ประตูมารดาคงจะเดินไปส่งบิดาที่รถเหมือนเช่นทุกวัน แต่ศิลาก็เดินออกไปดู
ไม่มี...!
ขยี้ตาแรงแล้วมองใหม่...
เหมือนเดิม


หายไปไหน..!?
ทำไมมารดาเดินเร็วนักสายตาเธอก็จับที่ร่างของมารดาตลอดเวลานี่นา ไม่น่าจะหายไปเร็วนักศิลาโคลงศีรษะไปมาแววตาฉงนแต่ก็เดินกลับเข้าไปด้านใน ตรงเข้าห้องครัวและเห็นมารดายืนล้างผักสดที่อ่าง ด้านข้างซ้ายมือถัดจากซิ้งล้างเป็นหม้อหุงข้าวและตะกร้าปิกนิกใบย่อมวางอยู่พร้อมอาหารวางเรียงในกล่องน่าทาน
ศิลาเดินเข้าไปโอบเอวมารดาไว้หลวมๆเอียงหน้าซบกับไหล่ท่านอย่างรักใคร่
“คุณแม่..น่ารักที่สุดเลยขอบคุณค่ะ”หล่อนยกศีรษะขึ้นตั้ง แล้วยื่นหน้าจุ๊บแก้มมารดาเบาๆ  “จุ๊บ”
คุณมารศรีหันมายิ้มให้ลูกสาว  “ประจบจะเอาอะไรจ้ะ? เด็กคนนี้”ถามกลับด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้า
ศิลาไม่พูดอะไร แต่เฉพูดไปถึงบิดา  “คุณพ่อไปทำงานสายหรือคะวันนี้หนูเห็นคุณแม่เพิ่งเดินไปส่งเมื่อกี้”
คุณมารศรีชำเลืองมองมาทางลูกสาวแวบหนึ่ง “หนูละเมอหรือไงลูก..คุณพ่อออกไปเกือบชั่วโมงแล้ว และแม่ก็อยู่แต่ที่ในครัวนะยังไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ศิลาสะดุ้งในใจอ้าปากค้างดวงตากลมโตด้วยความคลางแคลงสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร
“วันนี้จะไปไหนกันหรือจ้ะกลับมืดหรือเปล่าลูก? ”คุณมารศรีถามเพราะลูกสาวออกจากบ้านติดต่อกันสองวันแล้ว
“คงเย็นๆ นะคะแม่ศิลามีนัดกับปภาวดีและเพื่อนอีกสองคน เรามีเรื่องคุยกันตามประสาสาวน้อยน่ะค่ะ”พูดแล้วก็ยิ้มหวานให้มารดาเช่นเคย
มารดายิ้มและมองลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาอ่อนโยน  “เห็นคุณพ่อบอกว่าจะไปหาพี่มณีนะพรุ่งนี้หนูไปด้วยไหมจ้ะ? หรือจะอยู่บ้าน  !”ถามหยั่งเชิง
“ขอหนูคิดดูก่อนนะคะแม่กลับมาเย็นนี้จะให้คำตอบค่ะ”ก้าวขายืนเอียงตัวเข้าไปดูนาฬิกา “หนูไปก่อนนะคะ เดี๋ยววดีจะคอยค่ะ”ยื่นหน้าไปจูบแก้มมารดาอีกรอบไม่ลืมคว้าตะกร้าอาหารติดมือไปด้วย
ครอบครัวศิลามีกันสี่คนมีพี่สาวชื่อว่ามณีอีกคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ไปเรียนแพทย์ในเมืองและเช่าหอพักอยู่ในรั้วมหาลัย เหตุผลที่ต้องอยู่ที่นั่นก็เพราะเรียนหนักมากและจะกลับมาบ้านส่วนน้อย บางครั้ง ก็ต้องไปหาพี่สาวที่หอเองหากคิดถึงและนานเกินไป
ใช้เวลาไม่มากนักศิลาก็มาถึงหน้าบ้านปภาวดีที่ออกมายืนรอเพื่อนอยู่แล้ว
“รอนานไหมวดี?”ถามเพื่อนเมื่อเปิดประตูเข้ามานั่งเรียบร้อย
“ฮื่อ..ไม่เลย คว้ากล่องผลไม้กะจะเดินออกมาดูเธอก็ขับรถมาพอดีนี่ล่ะจ้ะ เธอรองท้องอะไรมารึยัง? ”ตอบและถามกลับบ้าง
“เรียบร้อย..เธอล่ะ?”หันไปมองเพื่อนเห็นอมยิ้มก่อนพยักหน้า “ไม่น่าถามเลยฉัน”และทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“ไปหารตาเลยนะ”บอกเป้าหมายต่อไป
เมื่อแวะรับจนครบแล้วทั้งหมดก็มุ่งตรงไปที่โรงเรียนเป้าหมายต่อไปคือ บ้านของลุงจำเริญภารโรงประจำโรงเรียนนั่นเอง
ศิลาจอดรถไว้ด้านหน้าที่จอดประจำของครูประจำชั้น แล้วทั้งสี่ก็เดินเลยไปทางด้านหลังโรงเรียนซึ่งเป็นบ้านของลุงจำเริญที่แยกห่างออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตร เมื่อทั้งสี่ไปถึงเห็นลุงกำลังนั่งเล่นกับหลานสาวตัวน้อยบนแคร่ด้านหน้า หมาเมื่อเห็นเด็กสาวทั้งสี่ก็กระดิกหางเดินไปหาด้วยความคุ้นเคย
“อ้าว..! มาได้ยังไงละเนี๋ย หืม! ”แกถามด้วยความฉงน เพราะไม่ค่อยมีเด็กมาช่วงเวลาปิดเทอมก็นึกแปลกใจ เมื่อรับไหว้จากเด็กๆ
“สวัสดีค่ะลุงจำเริญ คือว่าพวกหนูอยากจะขอยืมกุญแจของปีสองห้องเอหน่อยนะค่ะลุงพอดีรตาเขาลืมเอาสมุดรายงานกลับ กลัวจะไม่ได้ทำเพราะโรงเรียนใกล้จะเปิดแล้วเขาเลยชวนมาเป็นเพื่อนค่ะ”ปภาวดีพูดไปเป็นตุเป็นตะไม่สนใจว่ารตาเพื่อนรักจะเหยียบที่เท้ายังไงแต่พยายามชักเท้าที่เพื่อนเหยียบเอาไว้ออกด้วยสีหน้ายุ่งๆพร้อมกับปากที่ขมุบขมิบโดยไร้สรรพเสียง
“อ้าว..! แล้วกัน ทำไมขี้ลืมจังหนูรตา เดี๋ยวนะลุงจะไปหยิบมาให้”ลุงจำเริญกระเตงแม่หนูใส่เอวเมื่อลุกขึ้น แกหายไปสักครู่ก็เดินออกมาที่แคร่หน้าบ้านพร้อมกุญแจ
“อะ นี่ดอกนี้ ได้แล้วก็เอากุญแจมาคืนลุงนะอย่านานนักล่ะ มันผิดระเบียบ”แกกำชับอีกครั้งก่อนจะยื่นกุญแจให้ปภาวดีหัวหน้าชั้น
ทุกคนเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้งแต่เป้าหมายเปลี่ยนเป็นบันไดขึ้นชั้นเรียนแทนรถยนต์ศิลาหยิบกล้องออกมาเตรียมไว้แล้ว และเริ่มถ่ายตั้งแต่บันไดทางขึ้นไปเรื่อยๆ ช้าๆแทบจะทุกจุดเลย
แช๊ะ แช๊ะ...!
“เตรียมฟิล์มมาเยอะหรือเปล่าศิลา? ”ปภาวดีถามเมื่อเห็นเพื่อนถ่ายเอาๆ
“สิบม้วนวดี เธอว่าพอไหม? ”คราวนี้ถามเหมือนปรึกษา
“ฮื่อ..น่าจะพอ”คาดเดาเมื่อคิดว่าฟิล์มม้วนหนึ่งสามสิบหกภาพเมื่อคูณสิบก็น่าจะพอ
วีรนุชมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย  เพราะผีถ้วยแก้วเอย วิญญาณพเนจรเอยภาพถ่ายติดวิญญาณอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นเคยนึกว่ามีแต่ในทีวีและหนังสือเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัวเองเลย
ศิลายกมือพนมขึ้นเหนืออก ปากขมุบขมิบ
สาธุหากวิญญาณของคุณนิลนาถยังอยู่ที่ห้องนี้ ได้โปรดปรากฏร่างด้วยเถอะ...!

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๒*****


ความเดิมตอนที่แล้ว

นิลนาถตายแล้ว..!
มือสองข้างพาดไปบนโต๊ะใบหน้าที่ตะแคงข้างนั้นซีดขาวเผือดน้ำลายหยดย้อยออกมาเปื้อนเต็มแก้มและเส้นผมที่ปรกหน้ากลิ่นน้ำย่อยลอยออกมากับน้ำลายเหนียวอย่างคนสุขภาพไม่ดีคลุ้งไปทั่วห้อง


ตั้งแต่วันนั้นมาริญลดาก็เห็นวิญญาณอยู่บ่อยๆ จนเกือบจะเป็นโรคประสาทพ่อกับแม่เขาก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่น
ครั้นเรียนจบริญลดาก็ได้ทำงานให้กับบริษัทฯ แห่งหนึ่ง แต่ทำได้ไม่นานเธอก็มาจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุลื่นล้ม ศีรษะฟาดกับขอบอ่าง แต่ทีน่าสังเกตคือดวงตาที่เบิกโพลง และยังค้างอยู่ไม่ยอมปิด เธอตกใจอะไร?แต่ทุกคนก็หาสาเหตุไม่ได้”ปิ่นมณีเล่ามาถึงตรงนี้ด้วยน้ำเสียงละห้อยมือคว้าแก้วเครื่องดื่มบนโต๊ะมาจิบ
“งั้นก็แสดงว่า  วิญญาณคุณนิลนาถก็ยังอยู่ที่โรงเรียนนะสิคะ?”ศิลาถามอย่างคนช่างสังเกต แล้วยกนาฬิกาดูเวลาที่ปาเข้าไปค่อนบ่าย
“เอ่อ..! พวกหนูรบกวนเวลาของพี่มาพอสมควรแล้วต้องขอบพระคุณข้อมูลเพิ่มเติมและเครื่องดื่มมากๆ นะคะขอถือโอกาสนี้ลาเลยแล้วกันค่ะ สวัสดีค่ะพี่”ปภาวดียกมือไหว้พร้อมทั้งเอ่ยออกมาหลังจากที่เห็นเพื่อนดูนาฬิกาที่ข้อมือ และเจ้าของบ้านเงยหน้ามองข้างฝา
“จ้ะพี่ปิ่นก็มีธุระเหมือนกัน แล้วพวกเรามากันยังไงนี่?”ถามกลับบ้าง
“ศิลาเอารถมาค่ะแต่จอดหน้าปากซอยนี่เองพวกเราลากันอีกครั้งนะคะ”ทั้งหมดยกมือไหว้เจ้าของบ้านสาวอีกครั้งเมื่อเธอเดินมาส่งที่ประตู

-----------
เมื่อนั่งมาในรถทุกคนต่างก็เงียบ จนศิลาเอ่ยออกมา“ฉันว่าวิญญาณของคุณนิลนาถต้องอยู่ที่โรงเรียนและโต๊ะที่สี่ริมหน้าต่างตัวนั้นแน่ๆ”
“พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดีล่ะ?”รตาโพล่งถามมาบ้าง
“ขืนปล่อยไว้ไม่ดีแน่ๆเลย”ปภาวดีบอก
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วหันไปทางวีรนุชที่นิ่งเงียบไม่ออกความเห็นใดๆ
“วี..! เธอคิดว่าไง? ”ศิลาถามตรงๆ
วีรนุชชำเลืองมองตอบเพื่อนๆที่กำลังรอฟังคำของหล่อน “พวกเธอไม่กลัวจะเจออะไรที่มันแปลกๆเหมือนคุณริญลดาบ้างหรือ?”สีหน้านั้นครุ่นคิดด้วยความกังวล
“งั้นเราต้องเรียกหมอผีมาทำการขับไล่วิญญาณออกไปแต่เราต้องหาหลักฐานก่อนว่า ในโรงเรียนของเรามีวิญญาณคุณนิลนาถยังวนเวียนอยู่จริงๆแล้วให้เพื่อนๆ ช่วยดู และเป็นพยาน”ศิลากล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบเหมือนครุ่นคิดอย่างหนัก  ก่อนจะนำรถเข้าจอดข้างทางมือขาวบอบบางดีดเข้ากัน
“ป๊อก...! ได้การแล้ว”อุทานเสียงดัง เรียกความสนใจจากเพื่อนๆ
“อะไรหรือศิลาคิดอะไรออก”รตาถามด้วยความตื่นเต้นด้วย
“เราต้องถ่ายภาพวิญญาณเพื่อเอามาเป็นหลักฐานไง เข้าใจไหม? รูปถ่ายติดวิญญาณนะ”ตอบอย่างตื่นเต้น
“ถ้าเราถ่ายภาพวิญญาณของคุณนิลนาถได้นะอาจารย์จำรูญและทุกๆท่าน คงจะเถียงไม่ออกหรอก”ปภาวดีกล่าวบ้าง
“แล้วเธอคิดว่า มัน จะติดเหรอ? ศิลา”วีรนุชถาม
“วี..เธอไม่เคยได้ข่าวหรือไงที่ภาพถ่ายติดวิญญาณที่เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งไปแล้วน่ะ”ศิลาเท้าความให้เพื่อนที่นั่งมองด้วยดวงตาปริบๆ
“ตกลงตามนี้นะว่าไง ใครจะคัดค้านบ้าง?”ถามความเห็นกันอีกรอบสายตาจับไปที่ใบหน้าทีละคนช้าๆเมื่อสรุป
“งั้นพรุ่งนี้แปดโมงเราจะแวะรับเหมือนวันนี้เราจะไปหาลุงจำเริญเพื่อขอกุญแจ บอกลุงว่า เรามาเอาของที่ลืมไว้ด้วยกัน”ศิลากล่าวปิดท้ายก่อนจะเข้าเกียร์ออกรถขับต่อไปส่งเพื่อนๆ
“เดี๋ยววีรนุชก่อนแล้วตามลำดับบ้านใครใกล้เช่นเคยนะ”ปภาวดีบอกแทนเพื่อนคนขับ
-------------
รุ่งเช้าศิลาตื่นลุกขึ้นมาเตรียมกล้องจัดเป้และฟิร์ม ก้าวขาเดินออกไปหามารดาที่ห้องครัวเพื่อขอชุดปิกนิดขนาดย่อมๆก่อนเข้าไปอาบน้ำเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ไปโทรศัพท์หาเพื่อนระหว่างรตากับปภาวดีและถามว่าใครพร้อมแล้วบ้างจะได้แวะถูก ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคอย
เมื่อลงมาข้างล่างเห็นหลังมารดาไหวๆ ที่ประตูมารดาคงจะเดินไปส่งบิดาที่รถเหมือนเช่นทุกวัน แต่ศิลาก็เดินออกไปดู
ไม่มี...!
ขยี้ตาแรงแล้วมองใหม่...
เหมือนเดิม

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๑*****

ความเดิมตอนที่แล้ว

นิลนาถเมื่อได้เพื่อนก็ดีใจมากรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาโรงเรียนทุกวัน ช่วงแรกๆก็ดีหรอกแต่พอนิลนาถไม่มาวันเดียว
ริญลดาก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม บวกกับความที่เป็นคนร่าเริงเข้ากับใครๆ ได้ดี มีสัมมาคารวะ ริญลดาจึงมีเพื่อนเยอะ 
พอนิลนาถมาโรงเรียนและรู้ว่าริญลดามีเพื่อนใหม่ ก็คอยแต่จะรั้งริญลดาให้ไปโน่นมานี่กับตัวเองจนริญลดาเริ่มเบื่อ
ความ หวงแหนเพื่อน และกลัวว่าจะเสียเพื่อนไป ทำให้นิลนาถคอยตามติดริญลดาทุกฝีก้าวจนริญลดารำคาญมากขึ้นตามลำดับ ถึงคราวทนต่อไปไม่ไหว


“นาถ  ! ขอร้องนะ อย่ามาตามเกาะติดฉันมากนักเลย ให้ฉันได้มีโอกาสมีเพื่อนคนอื่นๆบ้างเถอะ ฉันจะอยู่กับเธอตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะและตัวเธอเองก็ไม่แข็งแรงพอที่จะไปไหนมาไหนกับฉันได้ เธอต้องพักมากๆไม่ใช่มัวแต่ตามฉันจนลืมดูแลตัวเอง”พูดแค่นั้นริญลดาก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดีแม้นว่านิลนาถจะตามอ้อนวอนยังไงเธอก็ไม่สน
หลังจากวันนั้นนิลนาถก็เริ่มปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อว่าจะได้ไปไหนมาไหนกับริญลดาได้เธอพยายามไม่เข้าเรียนสาย ชั่วโมงพละก็จะลงไปร่วมด้วยเสมอไม่ฟังใครแม้อาจารย์จะบอกให้ไปพักที่ห้องพยาบาล
ผลของการที่ไม่เคยเล่นกีฬาเลยทำให้นิลนาถต้องเข้าโรงพยาบาล แต่แทนที่เธอจะนอนโรงพยาบาลเธอกลับมาโรงเรียนเสียอย่างนั้น พี่ว่า เธอคงกลัวจะโดนแย่งเพื่อนเลยกัดฟันออกจากโรงพยาบาลและยังคงตามริญลดาไม่ห่าง
“วันนี้กลับพร้อมกันนะลดา”นิลนาถเดินไปหาริญลดาที่โต๊ะด้วยใบหน้าซีดเซียวแม้ว่าจะพยายามฝืนยิ้มก็ยังเห็นถนัดตา
“เอ่อ..”ริญลดาพูดไม่ออกเพราะตกใจกับท่าทีของเพื่อนที่หวงแหนตัวเธอเอามากมาย
วันนั้นช่วงเช้าผ่านไปโดยไม่มีอะไร
แต่พอชั่วโมงที่๕  ซึ่งเป็นชั่วโมงพละเธอก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ลงมานั่งรอที่ขอบสนามด้วย วันนั้นเป็นคิวของวอลเลย์บอลและเธอก็ขออาจารย์ลง
“นี่ลดา..!เธอไปห้ามนาถเขาดีกว่า จริงๆ ให้ไปนอนโรงพยาบาลได้ก็ดีนะหน้าซีดยังกับไก่ต้มขนาดนั้น”เพื่อนๆ ในห้องต่างก็เห็นด้วยว่าริญลดาสมควรจะไปห้าม
“ช่างเขาสิในเมื่อเขาไม่รักตัวเอง และสมัครใจที่จะเล่น”ริญลดาพูดอย่างไม่แคร์
เมื่อชั่วโมงที่  ๕ ผ่านไป เริ่มเข้าชั่วโมงที่ ๖อาการป่วยของนิลนาถเริ่มออก เธอนั่งก้มหน้ากัดฟันนิ่งแต่ร่างกายนั้นสั่นสะท้านจนไหล่ไหว เพื่อนๆบางคนเริ่มหันมามองบ่อยขึ้นอาจารย์ก็หยุดการสอนและเดินมาที่โต๊ะ
“นิลนาถไหวรึเปล่า? ครูว่าเธอควรไปพักที่ห้องพยาบาลนะ”น้ำเสียงบอกความกังวลและห่วงใยของอาจารย์ทำให้นิลนาถเงยหน้าขึ้นตอบ
เท่านั้น...!
ดวงตาของทุกคนเบิกค้าง เมื่อเห็นหน้านิลนาถชัดๆ ใบหน้าที่ไร้สีเลือดฝาดเจือปนมีแต่ความขาวซีดเคลือบอยู่ทั่วแทน
“ม่ะไม่ค่ะ หนูไม่เป็นไร”เสียงที่ตอบขาดเป็นห้วงๆ สั่นๆ เหงื่อชุ่มผุดตามหน้าผากมน นิลนาถพยายามอดทนแม้จะทรมานพลางพลิกข้อมือดูนาฬิกาโดยไม่สนใจสายตาของใคร 
อาจารย์เดินกลับไปหน้าห้องสอนต่อ
‘อา..! จวนแล้วจวนจะหมดชั่วโมงเรียนแล้ว’
บอกตัวเองซ้ำๆซากๆ อย่างอดทน แต่ยังไม่ทันหมดชั่วโมงเรียนดีนิลนาถก็ฟุบหน้าลงกับหนังสือบนโต๊ะที่กางอยู่ 
แกรก...
ตุ๊บ..
เสียงปากกาตกจากมือลงสู่พื้นร่างบางสั่นน้อยๆ แต่ไร้สรรพเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“นิลนาถ...อาจารย์คะ  ! นิลนาถ? ”ตอนนั้นพี่ตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกเรียกอาจารย์เสียงดัง มือก็จับไปที่ตัวของนาถอย่างกลัวๆ
“นิลนาถ..”เสียงอาจารย์เรียกพร้อมสาวเท้ามาอย่างเร็ว  “ช่วยกันพาไปห้องพยาบาลเร็ว”สั่งไม่ทันจบหัวหน้าห้องกับเพื่อนอีกคนจะขนาบข้างพยุงปีกพาออกไป 
แต่..!
“ม่ะไม่ค่ะอาจารย์ หนะหนูไม่ อยาก จาก ตรง นี้ ไป ไหนค่ะ ให้ หนู อยู่ ตรง นี้ ต่อ นะ คะหนู ไม่ อยาก อยู่ คน เดียว”น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูกระท่อนกระแท่นเต็มทีมันแผ่วเบา แหบโหยอย่างน่าสงสาร
ท่ามกลางความตกใจของเพื่อน
“ไม่ได้ใครก็ได้ ไปเรียกหมอมาเร็ว รถพยาบาลด้วยนะ
สิ้นเสียงของอาจารย์ก็เกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อยเมื่อร่างของนิลนาถสะอึกจนใบหน้าและลำตังกะตุกขึ้น
และแล้ว..นาทีนั้นที่ร่างบางก็ทรุดลงไปอย่างสิ้นเรี่ยวแรงตอนนั้นนาทีนั้น
นิลนาถตายแล้ว..!
มือสองข้างพาดไปบนโต๊ะใบหน้าที่ตะแคงข้างนั้นซีดขาวเผือดน้ำลายหยดย้อยออกมาเปื้อนเต็มแก้มและเส้นผมที่ปรกหน้ากลิ่นน้ำย่อยลอยออกมากับน้ำลายเหนียวอย่างคนสุขภาพไม่ดีคลุ้ง

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

ก้มกราบบ่อยๆจะช่วยลดความทระนงลงได้บ้าง

เพ้อ..


/เมื่อตะวันเริ่มคล้ำสีดำทาบ 
ท้องฟ้าฉาบเมฆน้อยมาลอยใกล้ 
สิ่งที่ฉันอยากทำทุกค่ำไป
 คือ..คิดถึงคนไกลใฝ่ละเมอ

/ยามนี้เธอนั้นรู้อะไรไหม 
ถ้าหากว่าเป็นได้ใคร่เสนอ
 ขอเป็นนกบินล่องเกาะห้องเธอ
 ให้ตัวเพ้อจืดจางลงบางวัน

/ป่านนี้เธอคงนอนพักผ่อนแล้ว
 ไม่รับรู้คำแว่วดังแถวนั้น
 มีคนเอ่ยว่ารักฝากแสงจันทร์ 
ในบันทึกสร้อยฝันแอบกลั่นเรียง

/กับถ้อยคำแสนงามยามเอ่ยเอื้อน
 ดั่งเสมือนได้บอกออกน้ำเสียง
 เป็นแฟนพันธ์แท้จริงอิงสำเนียง 
เฝ้าคิดเพียงเท่านี้มีสุขพอ

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

*****ดวงตาอาฆาต ๑๐*****

ความเดิมตอนที่แล้ว


ในที่สุดก็ปิดเทอม
ศิลาเอ่ยปากชวนปภาวดีและรตามาที่บ้านวีรนุชแต่เช้าซึ่งทั้งหมดก็เริ่มพุ่งเป้าไปที่บ้านเกิดของนิลนาถซึ่งอยู่ไปอีกหมู่บ้านไม่ไกลกันนัก

ทั้งสี่มาถึงหมู่บ้านที่นิลนาถเคยอยู่และจอดรถเดินดูบ้านเลขที่ๆจดมาจนเจอ

ปภาวดีก้มๆ ส่ายตัวมองเข้าไปภายใน เหมือนจะไม่มีคนอยู่เห็นป้าข้างบ้านออกมาจึงยกมือไหว้แล้วถาม

“สวัสดีค่ะคุณป้า เอ่อ..นี่ใช่บ้านของคุณนิลนาถปานน้อยไหมคะ? ”



หญิงชราเงยหันมามองพวกเด็กๆ ด้วยความแปลกใจ แววตาครุ่นคิด

“อ้อ..! หนูนาถหรือ? ก็รู้จักนะ”ท่านพยักหน้ารับ  “พวกหนูมีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่า?”ถามกลับไปบ้าง

ปภาวดีมองหน้าเพื่อนๆ ก่อนจะตอบว่า “คือพวกหนูอยากจะทราบว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหนน่ะค่ะคุณป้า”

“หรือจ้ะ..! งั้นเข้ามาก่อนสิ”เมื่อถามไถ่กันสักครู่ก็ถอดสลักประตูให้เด็กทั้งสี่เข้าไปนั่งที่โต๊ะม้าหิน  “เอ้าๆ นั่งก่อนๆ เดี๋ยวป้าจะเอาน้ำมาให้”

แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ ศิลาก็จับท่านไว้ “อุ๋ย..! อย่าลำบากเลยค่ะ พวกหนูดื่มแล้วเข้ามานี่ล่ะค่ะคุณป้าอยากจะรบกวนคุณป้าช่วยเล่าเรื่องของคุณนิลนาถให้ฟังหน่อยสิคะ”เมื่อพูดออกไปแล้วศิลาก็เตรียมหาคำตอบเสริมไว้ในสมอง เพราะท่านคงสงสัยว่าพวกเธออยากรู้ไปทำไม

“พวกหนูรู้จักหนูนาถด้วยหรือ? คนล่ะรุ่นกันนี่? ”ป้าตาบตั้งข้อสังเกต

“ค่ะคุณป้า คนล่ะรุ่นกันค่ะแต่ว่าพวกหนูเรียนห้องเดียวกับคุณนิลนาถน่ะค่ะ”รู้ว่าคำตอบไร้เหตุผลไปหน่อยกลัวเหมือนกันว่าป้าเขาจะไม่เชื่อและยอมเล่า

แต่..ผิดคาด เมื่อท่านพยักหน้า

“จริงๆ หนูนาถ อยู่กับพ่อสองคน เพราะแม่กับพ่อแยกทางกัน ช่วงหลังมาพ่อเขาทำธุรกิจล้มเหลว เป็นหนี้เป็นสินมากมาย เจ้าหนี้เปลี่ยนหน้ามาทวงกันทุกวัน บวกกับช่วงหลังๆ มานี่ดื่มหนักไปหน่อยและไม่ค่อยสนใจลูกสาวเท่าที่ควร เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ พ่อเขาก็ขายบ้านให้ป้าแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น ป้าไม่รู้ว่า พวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่ได้ข่าว มาเรื่อยๆ ว่า หลังจากพ่อเขาฆ่าตัวตาย แม่ก็มารับไปอยู่ด้วย แล้วนำเงินที่ขายบ้านนั่นแหละรักษาตัวหนูนาถ ที่ป่วยออดๆ แอดๆ มานาน แถมเข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้ ทั้งสองไม่ค่อยกลับบ้านตรงเวลานัก แกคงเหงานะป้าว่า  เฮ้อ..! ”เล่ามาถึงตรงนี้ป้าตาบก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความสลด

ทุกคนมองหน้ากันด้วยดวงตาละห้อย นั่งคุยอีกสักพัก ก็ยกมือไหว้ขอตัวกลับ แต่ศิลาอยากรู้เรื่องจากปากเพื่อนร่วมชั้นของนิลนาถอีก

“ปภาวดี เธอคิดเหมือนฉันไหม? จริงๆเราน่าจะลองไปหาเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งคู่กับรุ่นพี่ตามที่เราจดกันมาเถอะเผื่อได้เบาะแสมากกว่าของคุณป้าเมื่อกี้ก็ได้นะ ดีไหม รตา วีรนุช? ”เอ่ยปากบอกเพื่อนตามที่ใจคิด

ปภาวดีพยักหน้ารับก่อนจะดูรายชื่อที่กระดาษในมือ “งั้นเราพุ่งไปหาคุณปิ่นมณีเพราะพี่เขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ถัดไปอีกสองซอย”

ทั้งหมดเดินไล่ตามซอยและบ้านเลขที่ของรุ่นพี่เพื่อนของนิลนาถจนเจอ

ติ๋งต๋อง..

มีผู้หญิงผมบ๊อบใส่ชุดแซกสวมแว่นเดินมามองหลังผ้าม่าน และเปิดประตูออกมา

“มาหาใครคะน้อง? ”เสียงถามบอกความฉงนเล็กน้อย

“สวัสดีค่ะ พวกเรามาหาคุณปิ่นมณี รังสรรค์  นะค่ะ ไม่ทราบว่าอยู่ไหมคะ?”ทุกคนยกมือไหว้เจ้าของบ้านสาว และปภาวดีก็บอกเจตจำนงในการมาของครั้งนี้

“อ้อ..! พี่เองแหละน้อง”ตอบรับแล้วเดินมาที่ประตู  “เรารู้จักกันด้วยเหรอ? มาจากไหนล่ะนี่?”ถามด้วยความสงสัยและยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษที่ศิลายื่นส่งให้เมื่ออ่านแล้วก็เงยหน้ามองทั้งสี่อีกครั้ง “มาๆ งั้นเข้ามาก่อนสิ”

ศิลาหันมองเพื่อนๆ ที่พยักหน้าให้เข้าไป

ทั้งสี่เดินตามปิ่นมณีเข้าไปนั่งที่ห้องรับแขกปภาวดีทำหน้าที่แนะนำเพื่อนๆและตัวเองบอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้อย่างล่ะเอียด ปิ่นมณีนั่งฟังสักครู่ ก็ลุกขึ้นไปรินน้ำโดยมีรตาตามไปยกมาเสิร์ฟเพื่อนด้วย

“เอาล่ะ พี่เล่าให้ฟังเท่าที่รู้นะจ้ะ”ปิ่นมณีออกตัวก่อน

“เริ่มแรกที่เห็นนาถนั้น เพราะเราได้นั่งคู่กันในชั้นปีสอง จริงๆเขาเป็นคนร่างกายอ่อนแอ ขาดเรียนบ่อย บางทีก็มาเรียนสาย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนๆรังเกียจและไม่ค่อยมีใครอยากคบ พ่อเขาช่วงนั้นไม่ค่อยเอาไหน

บริหารธุรกิจก็ล้มเหลว เลยกินแต่เหล้าชอบโกหกหลอกลวง เล่นการพนัน คนแถวนี้ตอนนั้นไม่มีใครชอบหรอกต่างก็บอกลูกหลานของตัว เพื่อนๆ ก็พลอยรังเกียจนาถไปด้วย บางคนก็แกล้งต่างๆ นาๆนาถเลยกลายเป็นคนเก็บตัวอยู่คนเดียว

เวลามาเรียนก็ชอบซุกร่างกับโต๊ะเรียนนั่นแหล่ะ พี่ว่าเธอเป็นคนโดดเดี่ยวมากนะพอดีมานั่งคู่กับพี่ที่เป็นคนไม่ชอบคุยก็ยิ่งแล้วใหญ่ และช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝนมีนักเรียนย้ายเข้ามาพอดี
เอ..ชื่ออะไรแล้วนะ?

อ้อ..! ใช่แล้ว ริญลดา  สุดใจ ตอนแรกๆ ที่ริญลดาเข้ามานั้นยังไม่ค่อยจะมีเพื่อนนะเลยคบกับนิลนาถอย่างสนิทสนม ทั้งสองตัวติดกันเหมือนปาท๋องโก๋ จนแทบแยกกันไม่ออก

นิลนาถเมื่อได้เพื่อนก็ดีใจมาก รีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาโรงเรียนทุกวัน ช่วงแรกๆก็ดีหรอก แต่พอนิลนาถไม่มาวันเดียว ริญลดาก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม บวกกับความที่เป็นคนร่าเริงเข้ากับใครๆ ได้ดี มีสัมมาคารวะ ริญลดาจึงมีเพื่อนเยอะ พอนิลนาถมาโรงเรียนและรู้ว่าริญลดามีเพื่อนใหม่ ก็คอยแต่จะรั้งริญลดาให้ไปโน่นมานี่กับตัวเองจนริญลดาเริ่มเบื่อ

ความหวงแหนเพื่อน และกลัวว่าจะเสียเพื่อนไป ทำให้นิลนาถคอยตามติดริญลดาทุกฝีก้าวจนริญลดารำคาญมากขึ้นตามลำดับ ถึงคราวทนต่อไปไม่ไหว


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
Elegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In BackgroundElegant Rose - Working In Background