เมื่อคราวที่ฉันเรียนอยู่ชั้นม. 6 วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีจำได้ว่าพี่สาวฉันชวนไปปฏิบัติธรรมในวันเสาร์ที่จะถึงอีกสองวัน ที่วัดตำบลข้างเคียง แต่ก็ไม่ไกลจากบ้านนักเพื่อจะได้ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เข้าถึงพระธรรมมากขึ้น และฉันก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเหตุผลหลายๆ อย่างที่แม่และพี่สาวหยิบยกขึ้นมาพูดให้ฟังซึ่งฉันก็ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่พอเพื่อนๆฉันรู้เข้า ต่างก็อยากไปด้วย ฝากฉันกลับมาถามพี่สาวว่าขอไปด้อย และพี่สาวก็ตกลงให้ทุกคนขออนุญาตผู้ปกครองมาให้พร้อม 07.00 น ของเช้าวันเสาร์ ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านฉันโดยมีพี่สาวและเพื่อนอีกสองคนคอยดูแล
เมื่อไปถึงก็มีแม่ชีที่บวชอยู่ที่นั่น ออกมาต้อนรับและพาเราไปยังที่พักเพื่อเก็บข้าวของสัมภาระ และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ดูสุภาพขึ้นผ้าถุงสีขาวยาวกรอมเท้ากับเสื้อคอกลมแขนสี่ส่วนผ่าหน้า และเข็มขัดคาดเอวที่พอจะรัดไม่ให้ผ้าถุงหลุดลงมากองได้ด้วยเหตุจะต้องลุกต้องนั่งและทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากสวดมนต์นั่งสมาธิ
ที่พักของพวกเราคือศาลาใหญ่ ที่มีเสาเป็นสิบต้น ยกพื้นสูงขึ้นมาหน่อยแต่มีประตูหน้าต่างมิดชิด ที่ศาลานั้นแบ่งเป็นสองฝั่ง ซ้ายและขวา ตรงกลางเป็นทางเดินที่จุคนได้มากโขอยู่ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝน จึงไม่ค่อยมีใครมาปฏิบัติธรรมกันเท่าไหร่รวมๆ กันแล้วก็ได้ประมาณ 30 คน จึงแบ่งฝั่งพักข้างละ15 คน เมื่อมองนาฬิกาพี่สาวบอกให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวได้แล้ว เพราะต้องไปทำพิธีถือศีล 8 ที่กุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่อีกฝั่งกับกุฏิแม่ชี เมื่อทุกคนอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยก็เดินลงบันไดที่พัก
ช่วงที่เดินไปนั้น เพื่อนคนหนึ่งสังเกตเห็นว่า มีต้นชมพู่ต้นใหญ่อยู่หน้าที่พักของเราและเพื่อนอีกคนชื่อ นาก็พูดขึ้นมาอย่างนึกสนุกว่า...
“แหม! หากออกลูกมาทันตอนนี้นะเราจะเก็บกินให้อร่อยไปเลย ไม่รู้จะหวานหรือเปล่า”
ฉันได้ยินก็ไม่ค่อยสบายใจนัก ความรู้สึกแปลกๆ เพราะรู้สึกเกรงกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเจ้าที่เจ้าทางที่อยู่ในบริเวณวัดทุกคนไม่ควรจะพูดจาลบหลู่ ท้าทายหรือพูดหยาบคายขณะที่อยู่ ณ สถานที่นั้นแต่เพื่อนๆ หลายคนประมาท ล้วนมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น จึงนึกสนุกพูดจาหยอกเย้ากันไปเรื่อย ขึ้นมึงขึ้นกูกันด้วยความสนิทสนมไประหว่างทาง พี่สาวฉันร้องเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าพูดหยาบคายแต่เพื่อนๆ ฉันกลับทำหน้ารำคาญ จนพี่ฉันปิดปากสนิทฉันเองก็เลยเงียบเพราะไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
เมื่อมาถึงกุฏิท่านเจ้าอาวาส พี่และพวกฉันก็ขึ้นไปกราบพร้อมพานดอกไม้ธูปเทียนเสร็จพิธีตรงนั้น 17.40 น พวกเราก็ไปร่วมปฏิบัติธรรม เช่น ชมวีดีโอเกี่ยวกับการปฏิบัติทางพุทธศาสนา นั่งสมาธิและดื่มน้ำปาณะที่รสชาติอร่อยมาก จวบจนกระทั่งเวลา 19.30 นพระอาจารณ์ที่เป็นวิทยากรก็นำพวกเราสวดมนต์ทำวัตรเย็นก่อนนอน เสร็จตอน 22.00 นแม่ชีพี่เลี้ยงก็พาพวกเรากลับที่พัก
ในระหว่างที่เดินกลับที่พัก เพื่อนๆ ของฉันก็ยังคงหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนานจนแม่ชีพี่เลี้ยงต้องหันมากล่าวเตือนว่า
“เคารพสถานที่บ้างนะ ไม่งั้นอาจจะเจอดี”
“แหมคุณแม่ มีด้วยหรือคะ ในเมื่อที่นี่เป็นเขตวัดวาอารามคุณพระย่อมคุ้มครองพวกหนูอยู่แล้วล่ะ”
“พิม”พูดโต้ตอบกับคุณแม่อย่างไม่เกรงกลัว และเห็นเป็นเรื่องสนุกขบขันคุณแม่ก็ได้แต่มองจนเดินมาถึงที่พัก จากนั้นคุณแม่ก็กำชับพี่สาวว่า เมื่อทุกคนจัดการธุระส่วนตัวเสร็จให้ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทและเรียบร้อยก่อนเข้านอน ห้ามให้ทุกคนส่งเสียงดังหรือหยอกล้อกันทั้งสั่งให้เข้านอนทันทีก่อน23.00 น
ตัวฉันนั้นรีบไปล้างหน้าแปรงฟันเข้าห้องน้ำอีกรอบก่อนรีบกลับมาเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอนแต่พวกเพื่อนๆของฉันกลับมาเปลี่ยนชุดนอนเสร็จก็ตั้งวงคุยกันกับชวนเล่นถอดไพ่กันสนุกก่อนจะมาเล่นผสมสิบโดยไม่มีเงินพนัน
พอเล่นกันไปสักพัก เพื่อน 5-6 คนต่างก็ส่งเสียงลุ้นไพ่ดังขึ้นเรื่อยๆฉันนอนพลิกตัวไปมา มองไปที่พี่สาวและเพื่อนบางคนหลับไปแล้วฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตอนนั้นเวลาประมาณตี 2 ตรง รู้สึกรำคาญเพื่อนขึ้นมาทุกทีก็เลยตวาดออกไปว่า
“เลิกเล่นกันสักทีได้ไหม เดี๋ยวคุณแม่ได้ยินจะซวยกันไปหมดเพราะพวกแกนี่ละ”
แต่พวกเพื่อนๆ ก็หาสนใจเสียงของฉันไม่ยังคงจับกลุ่มลุ้นกันต่ออย่างมันในอารมณ์
จนกระทั่ง...02.15 น
ปัง ปัง ปัง!
เสียงคนทุบประตูดังมากด้านนอก ฉันใจหายวาบ เพื่อนๆ ในวงไพ่ร้องกรี๊ดออกมาต่างคนต่างรีบทิ้งไพ่ กลัวจะเป็นคุณแม่ รีบวิ่งเข้าผ้าห่มมาคลุมโปง
นาทีนั้น “พี่แอน”เพื่อนของพี่สาวก็ลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปที่ประตูฉันมองอย่างคนเสียขวัญก่อนจะร้องตะโกนสุดเสียง
“พี่แอน ! อย่าเปิดประตูเด็ดขาดนะคะ”
พี่แอนหันมามองแล้วพยักหน้า แต่หันกลับไปส่งเสียงถามว่า...
“นั่นใครคะ ใช่คุณแม่หรือเปล่า”
“...........”
ไม่มีเสียงตอบ นอกจากความเงียบ พี่แอนจึงก้มลงสอดสายตาส่องทางด้านล่างใต้ประตูตรงนั้นมีช่องว่าง พี่แอนร้องบอกพวกเราว่าไม่มีใครเลย แต่ไม่ทันขาดคำ เสียงทุบประตูก็ดังแหวกอากาศเข้ามาอีก
ปัง ปัง ปัง ปัง...!
ก่อนที่จะมีอีกเสียงดังสอดแทรกแหวกอากาศมาหลังจากทุบประตูไปสักครู่
“พวก มึง ทำ ให้ กู นอน ไม่ หลับ”
มันเป็นเสียงของผู้หญิง ที่ฟังดูชัดเจน พี่แอนสะดุ้งตกใจหงายหลัง แล้วตะกายตัวลุกขึ้นดีดร่างผอมแห้งจนลอยก่อนจะหมุนตัวกลับมาทางที่นอนพิมร้องกรี๊ดออกมาแล้วรีบวิ่งมากอดฉัน ส่วนคนที่หลับไปแล้วก่อนหน้านั้นก็ต้องตื่นเพราะเสียงทุบประตูทั้งหมดลุกขึ้นนั่งส่งสายตาตื่นๆ กันเลิ่กลั่ก แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามอะไร
เสียงทุบประตูดังขึ้นตลอดคืนที่เรานอนแต่ดังบ้างหยุดบ้างเป็นพักๆ พวกเราทุกคนไม่มีใครหลับตาลงได้อีก ต่างนอนคลุมโปงหวาดผวากันจนแทบหมดสติหลายคนนอนร้องไห้ รวมทั้งตัวฉันด้วย พี่สาวชวนภาวนาสวดแผ่เมตตาให้ผู้หญิงคนนั้นเพื่อจะได้ไม่ทุบประตูหลอกหลอนพวกเราอีก
พอตีห้าครึ่ง เสียงทุบประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนลุกขึ้นนั่งพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดขอบตาเขียวคล้ำอย่างตื่นตระหนก แต่ดีนะเพราะเสียงที่ดังมาเป็นเสียงของคุณแม่ที่ปลุกให้พวกเราตื่นไปอาบน้ำเตรียมตัวทำวัตรเช้านั่นเองในตอนนั้นท้องฟ้ายังไม่สว่างดีนักไม่มีใครกล้าพูดอะไรหรือบอกกล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยสักคน ต่างคนต่างได้แต่มองหน้ากันไปมาเดินออกไปก็เกาะกลุ่มกันตลอด ไม่มีใครเล่นหยอกเย้าเหมือนเมื่อคืนอีก
จนได้เวลาต้องเดินทางกลับ ช่วงบ่าย พี่แอนก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟังคุณแม่ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะหันมาดุเพื่อนๆ ของฉัน
“เป็นไงละ เห็นไหม แม่เตือนพวกเธอแล้ว ไม่เคยฟังกันเลยพวกเธอเล่นไพ่ส่งเสียงดังกันแบบนั้นเท่ากับไปหลบหลู่เขา รู้ไหมเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้วหน้าศาลาที่พักนั้น มีผู้หญิงที่อกหักจากความรักเพราะคนรักของเขามีครอบครัวอยู่แล้วแต่ไม่บอก กลับบอกว่ายังโสดเธอทำผิดต่อลูกผู้หญิงด้วยกันจึงมาที่วัดเพื่อจะบวชชีที่นี่แต่ทางวัดไม่ยอมอนุญาตเพราะรู้ว่าเธอต้องการหนีทางโลกเท่านั้นไม่ได้ศรัทธาในศีลมากนัก เธอคนนั้นเสียใจผิดหวังซ้ำซ้อนจึงตัดสินใจมาผูกคอตายที่ต้นชมพู่หน้าศาลาที่พวกเธอพักกันนี่แหละ”
คุณแม่เล่ามาถึงตอนนี้ น้ำตาของฉันไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว สันหลังเย็นวาบด้วยความหวาดกลัว
“หลวงพ่อท่านบอกให้แม่เตือนพวกเธอแล้ว เพราะพระเณรที่นี่ต่างก็เจอกันมาแล้วพอตกกลางคืนหากใครเดินผ่านวัดหรือศาลาแห่งนี้ก็จะเห็นผู้หญิงมานั่งก้มหน้าร้องไห้ที่โคนต้นชมพู่เสมอ มายืน เดินร้องไห้ไปมาแถวนี้แต่แม่ไม่อยากเล่าให้ฟัง กลัวพวกเธอจะไม่มาปฏิบัติธรรมกันอีก ก็เลยปล่อยจนพวกเธอเจอดีกันเองนี่ละ”
พี่สาวฉันหันมองเพื่อนๆ ของฉันก่อนจะถามว่า
“เข็ดกันไหม”
ตอนนั้นพวกเพื่อนของฉันที่ร่วมชะตากรรมมาด้วยเมื่อคืนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า...
“น่ากลัว และเข็ดค่ะพี่..”
ตอบออกมาเท่านั้น ทุกคนต่างก็บีบตัวเองให้เล็กลงก่อนจะแถลบตัวเข้าเกาะกลุ่มกันอีกครั้ง..
ขอได้รับความขอบคุณ
จาก พลอยตะวัน